*-*

ข่าวสาร

บอก WEB นี้ให้เพื่อน :

วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2551

9 โรคร้าย สำหรับพนักงานออฟฟิศ

1. โรคผมร่วง : ยิ่งเครียดยิ่งร่วง แต่อีกปัจจัยหนึ่งที่คุณอาจไม่เคยคิดนั่นก็คือการขาดแสงอาทิตย์
สังเกตหรือไม่ว่า ส่วนใหญ่แล้วพนักงานฯจะไม่ค่อยได้รับแสงแดดในยามเข้า แดดในยามเช้าจะช่วยให้เรา สังเคราะห์วิตามิน K ที่จำเป็นต่อร่างกาย รวมถึงหนังศีรษะด้วย



2. อาการปวดหัว,ไมเกรน, อัลไซเมอร์,เบลอเป็นกิจวัตร : สาเหตุก็คงทราบโดยทั่วไป ด้วยว่าเกิดจากความเครียด แต่สาเหตุอีกประการที่น่าสนใจคือ อาหาร ทานการแฟเยอะ อาหารไขมันสูง กินเนื้อสัตว์เยอะ ขาดการออกกำลังกาย



3. อาการปวดตาน้ำตาแห้งหน้าจอดับเอ๊ย.. เรตินาผิดปรกติ : นอกจากความเครียด แล้วก็เหตุใหญ่ๆ ก็คือการนั่งหน้าจอเกินวันละ 6 ชั่วโมง และการเพ่งอยู่หน้าจอในที่มืด



4. อาการไซนัสเป็นหวัดคัดจมูกภูมิแพ้ : สาเหตุเกิดจาก อยู่ในห้องแอร์



5. ปากเหม็น : ความเครียด แบคทีเรียจะทำงานอย่างมี ประสิทธิภาพในภาวะที่คุณเครียด
และมีอาหารอาหารพวกกาแฟ แอลกอฮอล์ รวมทั้งการพูดจาที่น้อยกว่าปรกติ



6. อาการปวดคอ ปวดไหล่ ปวดข้อ ปวดนิ้ว : โดยมากเกิดจากอาการนั่งทำงานผิดท่าทาง



7. อาการ….อ้วน…อ้วน…อ้วนก็อ้วนอ้วนอ้วน : การกินอาหารแบบกินไปทำงานไปจะทำให้อิ่มช้า และกินได้มาก



8. อาการโรคกระเพาะ : ความเครียด การนอนไม่พอก็มีส่วนทำให้เกิดอาการเหล่านี้ด้วยเช่นกัน



9. ริดสีดวง : เกิดจากการที่ท่านนั่งกันวันหนึ่งๆ กี่ชั่วโมงกันไหนจะ OT อีก บั้นท้ายท่านก็รับ การกดทับเส้นเลือดดำ บริเวณปลายลำไส้ก็เกิดอาการเลือดคั่ง



ต้นเหตุสำคัญ คือ เรื่องเครียดนี่หล่ะ ทำงานอย่าลืมผ่อนคลายกันมั่งนะคะ...

เคล็ดลับหลับสบาย

คุณเป็นคนหนึ่งหรือเปล่าคะที่อยากนอนแต่นอนไม่หลับ กว่าจะหลับได้ปาไปค่อนคืน ส่งผลให้ตอนเช้าไม่อยากตื่น หรือตื่นมาแบบงัวเงีย ๆ ตาบวม ตาคล้ำ ไปทำงานแบบไม่สวย ขืนปล่อยไว้นานสุขภาพพลอยแย่แน่ ๆ อย่างนี้ต้องหาวิธีค่ะ ลองปรับเปลี่ยนกิจวัตร วิถีชีวิตบางอย่างของคุณดู บางทีอาจช่วยให้หลับง่ายหลับสบายยิ่งขึ้น


สำรวจว่าห้องนอนอากาศถ่ายเทสะดวกหรือเปล่า
อันนี้เป็นตามหลักสุขศึกษาเบื้องต้นเลย ถ้าเปิดแอร์อุณหภูมิควรอยู่ที่ 20-25 องศาเซลเซียส แน่นอนค่ะว่าถ้าอากาศร้อนอบอ้าว ทำให้เรานอนไม่หลับกระสับการะส่าย



ก่อนเข้านอนให้อาบน้ำร้อน
เพราะจะช่วยผ่อนคลายร่างกายและใจที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามาทั้งวัน ถ้าที่บ้านมีอ่างอาบน้ำให้หยดลาเวนเดอร์หรือคาโมไมล์ลงไปสักหน่อย จะช่วยให้หลับสบายขึ้น เมื่ออาบเสร็จอย่าลืมทาโลชั่น เพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว และหาชุดนอนนุ่มสบายมาใส่



หลีกเลี่ยง ชา กาแฟ และเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์
ในตอนเย็นหรือหัวค่ำ ให้มาเลือกดื่มชาสมุนไพรย่างชาคาโมไมล์ หรือชาลาเวนเดอร์แทน หรือจะเป็นนมอุ่น ๆ ช็อกโกแลตร้อนสักแก้วก็จะทำให้หลับง่ายขึ้น



ไม่ควรรับประทานอาหารเย็นแบบใกล้เวลาเข้านอนมากเกินไป
เพราะจะทำให้กระเพาะคุณทำงานหนัก ถ้าเป็นได้คืออย่ารับประทานมื้อเย็นหลัง 1 ทุ่มเลยค่ะนอกจากนั้นขอแนะนำให้เลือกอาหารเบา ๆ ย่อยง่าย จำพวกปลานึ่งผักนึ่ง หลีกเลี่ยงพวกอาหารไขมัน เนื้อสัตว์ เครื่องเทศ และเครื่องปรุงรสจัด ๆ ค่ะ



ก่อนเข้านอนสัก 3 ชั่วโมง พยายามตัดเรื่องคร่ำเคร่งออกจากตัวจากใจ
ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะขนงานมาทำหรืออ่านหนังสือประเภทตื่นเต้น ลึกลับ เพราะนอกจากทำให้คุณวางหนังลือไม่ลงแล้ว ยังทำให้เกิดความตื่นเต้นก่อนนอนอีกแต่ให้หาเพลงเบา ๆ ฟังแทน อาจเป็นเพลงพวกนิวเอจ เพื่อการผ่อนคลาย ซึ่งเดี๋ยวนี้มีให้เลือกเยอะทีเดียว



แต่ละคนมีนาฬิกาชีวิตของคุณเอง
ลองสังเกตดูดี ๆ สิว่าคุณหิวข้าวตอนไหน และง่วงนอนตอนไหน ถ้าเกิดอาการง่วงเหงาหาวนอน หนังตาหย่อน แสดงว่าคุณต้องนอนแล้วละ ให้รีบนอนทันที เพราะถ้าเลยเวลานอนไปคุณอาจนอนไม่หลับเลย และเมื่อได้ เวลาทองของตัวเองแล้ว ก็โปรดจำไว้ และพยายามทำให้เป็นกิจวัตร



หากระดาษโน๊ตไว้ที่หัวนอนสักแผ่น
เพื่อจดว่ามีสาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้คุณนอนไม่หลับ และมีอะไรบ้างที่ทำให้คุณหลับสนิทดี เพื่อจะได้นำมาแก้ไขและปรับใช้กับตัวเอง



คราวนี้มาอัพเคล็ดลับเพื่อสุขภาพกันเยอะเลยยยยยยยยย....

หลับไม่อิ่ม มีสิทธิ์อ้วนได้

รู้ๆ กันว่า การอดนอนนั้น ทำให้ดูโทรม ผิวเหี่ยว สมองเฉื่อยชา แต่มีข่าวใหม่ล่าสุด บอกว่า การหลับไม่เต็มอิ่ม ยังทำให้ยากที่จะ
รักษารูปร่างได้ และมีแนวโน้มที่น้ำหนักตัวจะเพิ่มขึ้นอีกด้วย เรียกว่า นอกจากจะไม่สวยแล้ว ยังอาจทำให้อ้วนขึ้นได้อีกต่างหาก

ผู้หญิงเรา ต้องการนอนแค่ไหนจึงจะพอ
นี่ก็เป็นอีกคำถามหนึ่งที่ถามกันบ่อยมาก Dr. James B. Maasเจ้าของหนังสือ " Power Sleep " บอกว่า โดยเฉลี่ยผุ้หญิงจะนอนประมาณ 6 ชั่วโมง 10 นาที ทั้ง ๆ ที่ แหญิงสาวในวัยไม่เกิน 25 ควรนอนให้ได้ 9 ชั่วโมง ส่วนผู้หญิงในวัยเกิน 25 ปีไปแล้ว อาจต้องการนอน แค่วันละ 8 ชั่วโมง แต่อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่า จำนวนชั่วโมงการนอนที่ได้ผลดีกับร่างกาย มากที่สุด นั่นคือ ทำให้สมองได้ พักผ่อนอย่างเต็มที่ เซลล์ของร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเอง อยู่ที่ 9 ชั่วโมง 25 นาที ไม่ใช่ 8 ชั่วโมงอย่างที่เคยเชื่อกัน

ออกกำลังกายในช่วงไหน จึงจะทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น
การออกกำลังกายในตอนเย็น (ช่วง 16.00-18.00 ) จะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ที่จะช่วยให้คุณนอนหลับฝันดี โดยเฉพาะการออกกำลังกาย ชนิดที่ช่วยเผาผลาญพลังงานอย่างต่อเนื่อง เช่น การวิ่ง เดิน ว่ายน้ำ หรือแอโรบิค เป็นเวลาอย่างน้อย 30 นาที

ทำไมการนอนไม่เต็มอิ่ม อาจทำให้คุณอ้วนได้
ผลการศีกษาจาก มหาวิทยาลัยชิคาโก พบว่า กลุ่มผู้ชายที่มีสุขภาพดี วัย 17-28 ปี ที่นอนเพียง 4 ชั่วโมงต่อคืน เป็นเวลา 6 วันติดต่อกัน จะมีผลทำให้ระดับความดันของเลือดและระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น ในขณะที่ประสิทธิภาพในการทำงานของสมองลดลง นอกจากนี้ ยังพบว่า การอดนอน ทำให้เป็นหวัด ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น และคนที่เป็นโรคนอนไม่หลับเรื้อรัง ก็จะมีปัญหาเกี่ยวกับความเครียด และมีอาการอ่อนเพลีย แต่น้ำหนักตัวกลับเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากเมื่อคนเรามีอาการเครียดและรู้สึกอ่อนเพลีย ก็มักจะหาทางออกด้วยการกินอาหารที่มีรสหวาน ซื่งเป็นปฎิกริยาของร่างกาย ที่ต้องการพลังงานไปชดเชยนั่นเอง

ฝึกหายใจแบบโยคะ ช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น
Dr. Derek Loewy ผุ้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย Stanford แนะนำว่า การฝึกหายใจเข้าออกลึก ๆ เหมือนการท่าฝึกหายใจของโยคะ จะช่วยให้ลดความตึงเครียดและอาการหงุดหงิดลงได้ การฝึกหายใจ ไม่เพียงแต่จะเพิ่มออกซิเจนให้กับร่างกายเท่านั้น แต่ยังช่วยลดอาการอ่อนเพลีย และขับไล่สารพิษเมื่อหายใจออก และช่วยให้จิตใจสบาย ร่างกายผ่อนคลาย ลดความวิตกกังวลต่าง ๆ ได้ จึงช่วยให้คุณนอนหลับได้ง่ายขึ้น

วิธีฝึกหายใจ
นั่งไขว้ขา หลังตรง ยืดหน้าอกขึ้น แต่ผ่อนคลายส่วนไหล่ วางมือลงบนหน้าท้อง โดยให้ฝ่ามือหันเข้าลำตัว หายใจเข้าลึก ๆปล่อยให้มือ ขยับขึ้นลง ตามจังหวะการหายใจ ฝึกหายใจในท่านี้ ประมาณ 10 ครั้ง

เรื่องผิดพลาดเกี่ยวกับการลดน้ำหนัก

ถ้าคุณกำลังลดน้ำหนักอยู่ สงสัยจังทำไมไขมันไม่ยอมยุบตัว
ซะที มีอะไร พลาดไปหรือเปล่าเนี่ย
1. คุมอาหารแต่ไม่ออกกำลังกาย
การอดอาหารเพียงอย่างเดียว จะทำให้คุณผอมเพรียวได้แต่ไม่ฟิตแน่ค่ะ และซ้ำร้าย ถ้าคุณอดมาก ๆ อาจทำให้เกิดโรคขาดอาหารอีกด้วยค่ะ การจะลดน้ำหนักได้ผลนั้น คุณควรใช้วิธีคุมอาหารควบคู่กับการออกกำลังกายเพราะการออกกำลังกาย จะเร่งกระบวนการเผาผลาญอาหารทำให้ ร่างกายนำไขมันออกมาใช้มากขึ้น

2. ลดไขมันแต่หนักแป้ง
การกลัวอ้วน อาจทำให้คุณเลิกทานไขมัน แต่ร่างกายต้องการพลังงานอื่นมาทดแทน ทำให้คุณต้องชดเชยด้วยอาหาร
หมวดแป้งและน้ำตาล ซึ่งอาหารกลุ่มนี้ก็ทำให้อ้วนได้เช่นกันจริง ๆ แล้ว คุณไม่ควรงดอาหารประเภทไขมัน เพราะอาหาร
กลุ่มนี้ ร่างกายจำเป็นต้องใช้ แต่ควรจำกัดปริมาณการกินไม่ให้เกิน 20 % จะดีกว่า

3. ปล่อยให้หิวโซ
การปล่อยให้ท้องว่างในระหว่างมื้อ ร่างกายย่อมกระตุ้นเตือนว่า คุณได้รับพลังงานไม่เพียงพอ ซึ่งในที่สุดเมื่อหิวจัด
คุณก็ต้องทดแทนด้วยอาหารมื้อโต ในมื้อถัดไป ทำให้คุณคุมน้ำหนักไม่ได้ ทางออกที่ดีก็คือ ควรรับประทานเมื่อหิวอย่าไปต่อต้านร่างกายมากนัก แต่อาจเลือกรับประทานอาหารแคลอรี่ต่ำในระหว่างมื้อแทน

4. เบรคแตกในวันหยุด
ถ้าคุณคุมน้ำหนักแบบเข้มงวดมาตลอดสัปดาห์ แต่มาเบรคแตก
ในวันหยุด เพราะคุณมีเวลาว่างมากขึ้น ก็อาจเป็นสาเหต
ุที่ทำให้คุณลดน้ำหนักตัวลงไม่ได้ วิธีแก้ก็คือ ในวันหยุด
แทนที่จะนอนแกร่วเหมือนเจ้าเหมียว พาตัวเองไปเดินเล่น
วิ่ง หรือหากิจกรรมอะไรทำ ก็จะช่วยให้คุณได้ใช้พลังงาน
มากขึ้น

5. แก้เซ็งด้วยอาหาร
สาว ๆ หลายคน ในยามที่รู้สึกหงุดหงิด ซึมเซ็ง หรือเหนื่อยล้า
มักชดเชยอารมณ์บูดเหล่านั้น ด้วยอาหารแคลอรี่สูง เช่น
ลืมตัวคว้าช็อกโกแลตเข้าปากแบบไม่ยั้ง แล้วตามด้วยน้ำอัดลม
แช่เย็นสักกระป๋อง ซึ่งอาจทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น แต่บ่อยนัก
น้ำหนักก็ขึ้นพรวดพราดได้เหมือนกัน ควรชดเชยอารมณ์เสีย
เหนื่อยล้าด้วยอาหารไขมันต่ำ อย่างน้ำแก้วโต 1 แก้ว หรือ
โยเกิร์ตพร่องมันเนย ก็ทำให้คุณสดชื่นได้ หรือไม่ก็คว้ารองเท้า
คู่ใจมาสวม ออกไปเดินเล่นสักพัก ก็ทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย
ลืมเรื่องทุกข์ใจไปได้ โดยไม่กระทบกับน้ำหนักตัวค่ะ

เลือกกินอย่างไรไม่ให้อ้วน

สาวๆที่มีรูปร่างเพรียวสมส่วนทั้งหลายคงต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ที่จะควบคุมรูปร่างให้ฟิตอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ใช่ประเดี๋ยวเพรียว ประเดี๋ยวฉุให้คนงงเล่นเหมือนใครบางคนเรามีวิธีควบคุมรูปร่างของคุณให้ดูระหง, สุขภาพดี แบบไม่เคร่งเครียดมากนักมาฝากค่ะ

1. รับประทานผักและผลไม้ให้มากเป็นประจำ นอกจากจะช่วยควบคุมน้ำหนักแล้ว ผักผลไม้ยังอุดมไปด้วยวิตามิน
ที่มีประโยชน์ต่อความสวยของคุณ และช่วยลดระดับไขมันโคเรสเตอรอลอย่างได้ผลอีกด้วยค่ะ

2. รับประทานธัญพืชและถั่วต่างๆให้มาก เช่น ข้าวกล้อง, งา, ถั่วต่างๆ , ลูกเดือย ซึ่งจะมีเส้นใยอาหารให้คุณอื่มเร็วขึ้นแถมยังช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด และรักษาระดับโคเลสเตอรอลอีกด้วยค่ะ

3. รับประทานปลา หรือนื้อสัตว์ไม่ติดมันเป็นประจำโดยเฉพาะเนื้อปลาซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นโปรตีนชั้นดี ,และมีกรดไขมัน โอเมก้า 3 ที่ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ เช่น ปลาทูน่ากระป๋อง ,หรือปลาแซลมอน ปริมาณไขมันที่คุณ ควรรับประทานต่อวัน ไม่ควรเกิน 5-8 ช้อนชานะคะ และหากจะรับประทานสลัดก็ไม่ควรใส่น้ำสลัดมากกว่า 5 ช้อนชาค่ะ

4. หลีกเลี่ยงอาหารหวานต่างๆ เช่น น้ำอัดลม, น้ำหวาน, ขนมหวาน หรือแม้แต่ผลไม้ที่มีรสหวานมากๆด้วยค่ะ
เพราะของหวานให้แต่พลังงาน ซึ่งหากรับประทานมากก็จะเกินความต้องการไปพอกพูนตามร่างกายของคุณให้
อวบอ้วนเปล่าๆค่ะ

5. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเค็มจัด โดยคุณควรรับประทานเกลือให้น้อยกว่า 6 กรัมต่อวัน หรือประมาณ
1 ช้อนชาต่อวันค่ะ

6. งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ โดยไม่ควรดื่มมากกว่า1 แก้วต่อวันค่ะ เพราะนอกจากจะก่อโทษต่างๆแล้วยังมีแคลอรี่สูงอีกด้วยค่ะ หากคุณรับประทานอาหารตามแนวทางนี้ จะทำให้คุณรักษารูปร่างให้สมส่วนได้อย่างยาวนาน ไร้ไขมันพอกพูนและสุขภาพดีไม่ผอม เหี่ยว ซีดเซียว ไร้เรี่ยวแรง จนดูโทรมมากกว่าสวยเสียมากกว่า

ดูแลผิวหน้าสำหรับสาวผิวมัน

ผิวมัน เป็นปัญหาหนึ่งที่สาวไทยประสบได้ค่อนข้างบ่อยค่ะ อาจเนื่องจากปัจจัยจากตัวเราเอง และปัจจัยจากภายนอก เช่น สภาวะอากาศของบ้านเราค่อนข้างร้อนถึงร้อนมาก ๆ สาว ๆ ที่มีผิวหน้ามันทั้งหลายค่อนข้างจะวิตกกังวลอันเนื่องมาจากผิวมัน ทำให้ดูหน้าเลอะเทอะ ไม่น่าจับต้องแต่งหน้าแต่ละทีแป้งก็ติดไม่ทน ทำให้ไม่สวยเอาได้ง่าย ๆ อีกทั้งความเชื่อเดิม ๆ ที่ว่าคนผิวมันมักจะเป็นคนที่เป็นสิวได้ง่าย แต่ความเป็นจริงแล้ว คนผิวมันก็มีข้อได้เปรียบนะคะ เนื่องจากคนผิวมัน จะมีน้ำมา
เคลือบบนผิวเซลล์เกือบตลอดเวลา ทำให้ผิวของคนผิวมันมักดูไม่เหี่ยวย่นได้ง่ายเมื่อเทียบกับคนผิวแห้ง นอกจากนี้เรายังพบอีกว่า ไม่ใช่แต่เพียงคนผิวมันที่เป็นสิวนะคะ จริง ๆ แล้วคนที่ผิวแห้งมาก ๆ หรือมีปัจจัยใด ๆก็ตามมารบกวนผิว มักจะกระตุ้นให้เกิดสิวและมีสิทธิ์ไม่สวยได้เช่นกันค่ะ
การดูแลผิวสำหรับคนที่มีผิวมันนั้น ในปัจจุบันมียาจำพวกวิตามินเอสังเคราะห์ เช่น Isotretinoin หรือการใช้ยาในกลุ่ม aldactone
ซึ่งจะมีฤทธิ์ข้างเคียงของยาทำให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังลดจำนวน และขนาดลง มีผลให้ผิวเราแห้งขึ้น แต่การใช้ยาเหล่านี้มีข้อเสียอื่นๆ
ด้วยค่ะ จึงควรอยู่ในความควบคุมของแพทย์เท่านั้นนะคะ

คนที่ผิวมันจริง ๆ อย่าเพิ่งน้อยใจนะคะ ปัจจุบันนี้มีสินค้าต่าง ๆ มากมายมาใช้ควบคุมความมันบนใบหน้า แพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำให้คนไข้ที่มีปัญหาผิวมัน ซับหน้าด้วยกระดาษซับมันระหว่างวันและอาจใช้เครื่องสำอางที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน (Oil Free, Oil Control) และไม่ควรกังวลมากเกินไปพยายามเสริมสร้างความมั่นใจให้กับตนเองสาวผิวมันทั้งหลาย ก็จะสวยได้อย่างสาวผิวอื่น ๆ เช่นกันค่ะ

ยุทธวิธีหนีอ้วน

ยุทธวิธีต่อไปนี้ ทำให้คุณลดน้ำหนักได้ ชนิดที่ไม่ต้องพึ่ง ยาลดความอ้วน ที่มีภัยอย่างน่าขนหัวลุก และไม่ต้องดั้งด้นไปเสาะหาที่ดูดไขมัน ที่ยิ่งดูด ยิ่งทรัพย์จาง แต่น้ำหนักอาจไม่เบาบางลงอย่างที่หวัง

1. ทำตัวให้คล่องแคล่วทุกเมื่อ

อย่าปล่อยเวลาให้เสียไปเปล่า ๆ หรือมัวนั่งเซ็ง ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่งาน หรือที่บ้าน พยายามเคลื่อไหวตัวให้มากที่สุด จะทำให้คุณเผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้น
2. ไม่จำเป็นต้องเลิกของหวาน
ถ้าคุณติดรสหวานหอมของช็อกโกแลต หรือขนมไทย ๆ อย่างทองหยิบ ทองหยอด หรือฝอยทอง ก็ไม่จำเป็นถึงขั้นที่คุณต้องตัดขาด เพราะยิ่งอด ก็จะยิ่งอยาก และยิ่งควบคุมใจยาก การทานนาน ๆ ครั้ง ไม่ได้ทำให้แผนลดน้ำหนักของคุณต้องล้มเหลวลงหรอก ถ้าคุณขยันออกกำลังกายมากขึ้นในสัปดาห์นั้น

3. ดื่มน้ำเยอะ ๆ
การดื่มน้ำในช่วงตื่นนอน นอกจากทำให้คุณสดชื่น และช่วยระบายท้อง ทำให้ระบบการขับถ่ายทำงานได้ดีขี้น ช่วยลดความอึดอัด
ในท้องได้ การดื่มน้ำในระหว่างวัน ก็ช่วยไม่ทำให้คุณรู้สึกเฉื่อยชาจากการรับประทานอาหารแคลอรี่ต่ำ

4. ทานอาหารมื้อเล็ก ๆ
การทานอาหารมื้อเล็ก ๆ ห้าถึงหกมื้อ โดยทอดเวลาห่างกันซักสองสามชั่วโมงจะช่วยทำให้คุณไม่รู้สึกเฉื่อยชา เมื่อต้อง
รับประทานอาหารแคลอรี่ต่ำ

5. ไม่ควรชั่งน้ำหนักบ่อยๆ
การชั่งน้ำหนักตัวทุกวัน ทำให้คุณเกิดความเครียด และอาจท้อแท้ จนเลิกล้ม ความพยายามไปเปล่า ๆ ทางที่ดีคุณควรชั่งน้ำหนัก
สัปดาห์ละครั้งก็พอแล้วค่ะ

6. อย่าตุนอาหารเต็มตู้เย็น
ไปซุปเปอร์มาร์เก็ต คราวหน้า ลดปริมาณของที่ซื้อมาตุนในตู้เย็นลง เพราะยิ่งคุณมีของกินในบ้านมากขึ้น คุณก็ยิ่งกินมากขึ้น

7.ฟังเพลงเรียกเหงื่อ
การฟังเพลงที่เร้าใจ ตอนออกกำลังกาย จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้คุณออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง

8. หันมากินข้าวกล้อง
นอกจากจะช่วยประหยัดไฟ ในการใช้สีข้าวให้ขาวจั๊ว ข้าวกล้องน่ะ ยังมีวิตามินดี ๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่เพียบ เมื่อเทียบกับข้าวเม็ด
ขาวสวย และที่สำคัญอยู่ติดท้องนานกว่า ทำให้อิ่มได้นาน

9. ตั้งใจและมุ่งมั่น
อุปสรรคสำคัญที่ทำให้ การลดน้ำหนักของคุณไม่ได้ผล ก็คือความรู้สึกท้อแท้ เมื่อเห็นน้ำหนักตัวไม่ขยับลงอย่างที่ควรจะเป็น
บางทีเป็นเพราะคุณคาดหวังผลเร็วเกินไป แต่ขอให้เชื่อว่า การลดน้ำหนักอย่างต่อเนื่อง ไม่เร่งให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างฮวบฮาบ
แม้ได้ผลช้า แต่ไม่เป็นผลเสียต่อสุขภาพและยังได้ผลที่ถาวรกว่า

เทคนิคในการดูแลริมฝีปากให้เนียนนุ่ม และอวบอิ่ม

ริมฝีปากนุ่ม
ทาลิปบาล์ม หรือวาสลีนบนเรียวปากเป็นประจำ หรือไม่ก็ใช้ซีรั่มบำรุงเรียวปาก คลึงริมฝีปากก่อนนอน จะช่วยกระตุ้นให้ริมฝีปากนดูนุ่มและชุ่มชื้น และอย่าลืมดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยให้ริมฝีปากชุ่มชื้นจากข้างใน

ริมฝีปากเนียน
ให้ขัดริมฝีปากสัปดาห์ละครั้ง โดยใช้แปรงสีฟันเด็ก ขนนุ่มสุด ๆ ขัดริมฝีปากในขณะที่แห้ง ขัดเบา ๆ ให้ทั่ว จะช่วยขจัดเซลล์เก่า ๆ ให้
หลุดออก แล้วนวดด้วยวาสลีน จะช่วยให้ริมฝีปากเรียบเนียน ไม่แห้งแตกเป็นขุย

ริมฝีปากไร้ริ้วรอย
ไม่อยากให้ริมฝีปากปรากฎร่องรอยเร็ววัน หมั่นฉีกยิ้มให้กว้างสุด แล้วขบฟันเข้าหากันให้แน่น ทำวันละ 20 ครั้ง จะช่วยบริหารเนื้อเยื่อ
ที่พยุงผิวรอบปาก หรือแค่ยิ้มสวยทุกวัน ยิ้มให้มากเข้าไว้เหมือนเด็ก ๆ นอกจากช่วยบริหารเสน่ห์แล้ว ยังช่วยให้ริ้วรอยของเรียวปากไม่มาเยือนก่อนเวลาอันควร

ริมฝีปากอวบอิ่ม
ใช้ดินสอเขียนขอบปากสีขาว วาดรอบปากบนเพื่อไฮไลต์ให้ริมฝีปากดูเต็ม แล้วเน้นขอบปากล่างด้วยดินสอสีน้ำตาล เสร็จแล้วใช้คอตตอนบัด
เกลี่ยสีจากขอบปากบนลงบนเนื้อปาก แล้วใข้แปรงทาปากลงลิปสติคตามปกติ จะช่วยให้ปากอวบอิ่มขึ้น นอกจากนี้ การจูบชนิดเร่าร้อน ก็ช่วยนวดริมฝีปากให้ดูอิ่มเอิบ แดงระเรื่อ ได้เหมือนกัน งั้นอย่ารอช้ามองหาหนุ่มที่คุณอยากจูบให้เจอกันดีกว่า

เคล็ดลับแต่งหน้าให้สวยดูดี

เคล็ดลับการแต่งหน้า

ผู้หญิงบางคนคิดว่าการแต่งหน้าดูเป็นธรรมชาตินั้น คือการแต่งหน้าน้อย ๆ หรือไม่แต่งเลย ซึ่งเป็นการเข้าใจผิด การแต่งหน้าให้ดูสวยเป็นธรรมชาติแท้ที่จริงแล้วต้องอาศัยความพิถีพิถันพอสมควรซึ่งมีเทคนิคง่าย ๆ เพียงแค่เราหมั่นฝึกฝน และรู้จักเลือกสีให้กลมกลืนกับสีผิว โดยเลือกใช้โทนสีที่สามารถเข้ากันได้ เช่น น้ำตาลอ่อน ฟ้าอ่อน ชมพูอ่อน หรือสีเอิร์ทโทน ไม่เน้นสีจัดหรือเข้มเกินไป โดยอาจเน้นสีสันที่บริเวณเนินแก้ม เพื่อให้ผิวหน้าดูสดใสมีสุขภาพดี และสำหรับคนผิวสองสีควรเติมสีน้ำตาลเพื่อปรับให้เข้ากับสีผิวของตัวเองมากยิ่งขึ้น บางวันที่เร่งรีบหรือไม่มีเวลาจริง ๆ อย่างน้อยควรทาปากกับแก้ม เพื่อให้ผิวหน้าดูมีชีวิตชีวา
เคล็ดลับ การใช้แป้งผสมรองพื้น ทู-เวย์
หลังจากใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวพรรณตามปกติใช้ฟองน้ำแห้ง หรือชุบน้ำหมาด ๆ แตะบนแป้งเบา ๆ แล้วทาให้ทั่วใบหน้าและคอให้เนียนเรียบเสมอกัน
เคล็ดลับการใช้โลชั่นรองพื้น
เคล็ดลับสำคัญคือ การกะปริมาณโลชั่นให้พอเหมาะกับบริเวณผิวหน้าของคุณซึ่งสามารถทำได้ไม่ยากเลยด้วยการแต้มครีมรองพื้นบนใบหน้า 4 จุด(หน้าผาก แก้ม และคาง) เกลี่ยให้ทั่วด้วยฟองน้ำหรือนิ้วมือ โดยเริ่มจากจุดศูนย์กลางออกไปด้านข้างจนถึงไรผมและอย่าลืมบริเวณลำคอควรใช้แป้งฝุ่นทาทับอีกครั้ง เพื่อให้แป้งติดทนนาน และเพื่อหลีกเลี่ยงความมันบนใบหน้า
เคล็ดลับการเลือกเฉดสี
วิธีที่ดีที่สุด คือ ทดลองทาบริเวณขอมือด้านในหรือต้นคอ สีที่เหมาะสมคือสีที่กลมกลืนไม่แตกต่างไปจากโทนสีผิวของคุณ

แต่งหน้าอย่างไรให้ขาวเนียน

วิธีการแต่ง หน้าแบบนี้ จะเน้นที่รองพื้นเป็นสำคัญอาจเลือกใช้ Make up base สีขาว แนะนำให้ใช้ฟองน้ำเกลี่ยทั่วใบหน้า จะช่วยให้หน้านวลเนียน ไม่เป็นคราบ และติดทนนาน

เมื่อเสร็จแล้ว ให้เลือก Liquid Foundation สีเนื้อที่มีเฉดสีอ่อนที่สุด เกลี่ยให้ทั่วใบหน้า และใช้ Loose Powder สีเหลือง ทำให้หน้าสว่าง จากนั้นให้ลง Loose Powder สีม่วงทับอีกครั้ง

สำหรับ คิ้ว ให้แต่งด้วยอายแชโดว์สีดำ เพราะกำหนดเส้นคิ้วได้สวยกว่า

ส่วนบริเวณรอบๆดวงตา ให้ใช้ eye liner ชนิดน้ำ สีดำ จะช่วยให้ดวงตาดูคมชัด กลมโตและเด่นขึ้น แต่ให้ทาบริเวณขอบตาบนเท่านั้น
เพิ่มความโฉบเฉี่ยวด้วยการเขียนหางตาให้ตวัดขึ้น นอกจากนี้ เราสามารถติดขนตาปลอม ทำให้ตาดูโดดเด่นขึ้นได้

หากต้องการเพิ่มสีสันแก่ใบหน้า เลือกใช้อายแชโดว์ที่มีส่วนผสมของ Glitter เป็นตัวช่วยเพิ่มความเป็นประกายแวววาวสดใส
ตั้งแต่ใต้ตา ยาวไปจนถึงหางตา โดยเน้นความเข้มที่ด้านบนและไล่โทนสีให้อ่อนลงมา

อย่าลืมแต่เรียวปากของคุณด้วยลิปสติกเฉดแดง ใช้ด้านที่เป็น Lip Liner สร้างรูปปากก่อน จากนั้นใช้ด้านที่เป็น Lipstick ระบายริมฝีปาก เมื่อเสร็จแล้ว ให้ใช้ Lip Shine สีแดงแตะบริเวณกึ่งกลางริมฝีปาก เพื่อเพิ่มความแวววาว

เมื่อเสร็จแล้ว ใบหน้าคุณก็จะดูสวย เรียบเนียน โดดเด่น เด้งเดิ้ลกว่าใครๆค่ะ

แก้ไขรูปหน้าให้สวยขึ้นด้วยตัวเอง

เพื่อเพิ่มความมั่นใจ โดยที่ไม่ต้องโบ๊ะหน้าให้เหมือนนางเอกลิเก วิธีการแต่งหน้าแบบน้อย ให้เป็นธรรมชาติ และแก้ไขรูปหน้าให้สวยขึ้น โดยคุณแทบจะไม่รู้สึกว่าแต่งหน้าเลยด้วยซ้ำ

จมูกไม่โด่ง
วิธีแก้ให้ดูจมูกโด่งขึ้นก็คือ ใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลอ่อนๆไล้ช่วงหัวคิ้วมากๆ เน้นนะว่าแค่เบาๆ เป็นเงาๆก็พอ อย่าหนักเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นหน้าอาจกลายเป็นงิ้วได้ จากนั้นไล้ตั้งแต่ช่วงหัวคิ้วลงมาด้านข้างของสันจมูกจนถึงปลายจมูก และค่อยๆเกลี่ยให้เข้ากับปีกจมูก ทำเหมือนกันทั้งสองด้าน โดยให้สังเกตว่าเป็นเงาๆก็ใช้ได้แล้ว แต่ถ้าใครที่มีปลายจมูกยาวอยู่แล้ว ก็ไม่ควรไล้ให้ถึงปลายจมูก แต่ควรไล้ตัดปลายจมูกแทน

แก้มตอบ
แก้มตอบอาจทำให้คุณรู้สึกหน้าตาไม่สดชื่นได้ แต่จริงๆอย่ากังวลกับจุดนี้มากไป วิธีแก้ง่ายมาก ขอแนะให้ใช้บลัชครีม หรือบลัชออนสีชมพู ชมพูอมส้ม หรือแดงเชอร์รี่ปัดแก้มเป็นวงกลมตรงส่วนที่นูนที่สุดของแก้มเหมือนกับเราดึงจุดเด่นของพวงแก้มออกมามากขึ้น อาจใช้บลัชออนแบบมีประกายกากเพชรนิดๆเข้าไปด้วย จะทำให้แสงหักเหตรงพวงแก้มมากขึ้น แต่อย่าแรเงาตรงกรอบของขอบหน้าเด็ดขาด นั่นจะยิ่งทำให้แก้มดูตอบได้ แล้วเวลาเขียนอายแชโดว์ ไม่ต้องเขียนเส้นขอบตามากนัก มันจะยิ่งเน้นความคมสันของหน้า ให้ทาอายแชโดว์สีอ่อนๆมีประกายทั่วเปลือกตาก็พอ ส่วนสีของปากให้ใช้ลิปสติกสีอ่อนๆเข้าไว้ ถ้าใช้สีเข้ม เช่น สีน้ำตาล จะยิ่งทำให้หน้าเล็กลงไปได้อีก

แก้มเยอะ
แก้มยุ้ยๆน่ารักออก แต่ถ้าอยากแต่งหน้าให้เล็กลงและหน้ายังดูสดใสอยู่ ควรเลือกใช้บลัชครีม สีแดงเชอร์รี่และให้ลองแต้มที่กึ่งกลางแก้ม แตะวนเป็นกลมๆและใช้ปลายนิ้วมือเกลี่ยบลัชครีมขึ้นไปในแนวทะแยงจนถึงไรผมใกล้ๆขมับ เป็นการสร้างเฉดให้หน้า เงาตรงนี้จะทำให้หน้าดูเล็กลง และสีแดงของบลัชจะทำให้แก้มดูเหมือนมีเลือดฝาดแบบเด็กๆ น่ารักสดใสเป็นธรรมชาติ

ตาไม่ดึงดูด
อยากให้ตาดูมีเสน่ห์มากขึ้น หน้าทั้งหน้าจะได้ดูเด่นขึ้นไปด้วย แนะนำให้ใช้อายแชโดว์สีชมพูอ่อนๆจะเป็นแบบมีประกายสีเงินวาวๆซ่อยอยู่ด้วยก็ดี ทาอายแชโดว์ไปตามแนวพับเพื่อเป็นการสร้างสีสันให้ดวงตา แล้วใช้อายไลเนอร์แบบดินสอ เลือกสีเขียวสดไปเลย เขียนให้ชิดเส้นขอบตาด้านบน เขียนให้เส้นโตๆหน่อย เพื่อทำให้ตาดูเด่นสะดุด แล้วปัดเฉพาะขนตาบนให้เด้งที่สุด ตาจะเก๋มีเสน่ห์ขึ้นมาทันที

คางเหลี่ยม และหน้าดูไม่มีมิติ
ให้ลงมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ก่อนเพื่อปรับสภาพผิวหน้า เพราะจะช่วยให้เกลี่ยบลัชครีมง่ายขึ้น ถ้าผิวเนียนอยู่แล้วไม่ต้องใช้รองพื้นเลย ใช้บลัชครีมโทนสีน้ำตาลเข้มหน่อยเพื่อให้หน้ามีแสงเงาขึ้น แต้มไปตามกรอบของหน้าโดยเน้นส่วนที่เป็นเหลี่ยมๆและส่วนของโหนกแก้มที่ทำให้หน้าดูแข็ง อย่าลืมแต้มตรงกรอบหน้าที่ติดกับไรผมด้วยนะ เวลาแต้มบลัชตรงแก้มให้แต้มเริ่มจากขมับไล่ไปตามแนว 45 องศา เข้ามาในหน้าจนถึงระดับกลางตาดำ จากนั้นค่อยๆใช้นิ้วเกลี่ยเบาๆ ให้ดูกลืนกัน แค่นี้ก็จะเป็นการสร้างกรอบหน้าใหม่ให้ดูเข้ารูปและมีมิติขึ้นแล้ว

ตาเล็กและหนังตาตก
สามารถทำให้ตาคมโตขึ้นได้ง่ายๆ คือ เริ่มจากเลือสีอายแชโดว์สองสี สีอ่อนและสีเข้มมาใช้สร้างรูปตาของเราให้ดูมีชั้น ใช้อายแชโดว์สีอ่อนทาทั่วเปลือกตาตามรอยพับก่อน อย่าลืมทาตรงช่วงโหนกคิ้วด้วยนะ แล้วใช้อายแชโดว์สีเข้มไล้ช่วงหางตาขึ้นไปเป็นแนวโค้งของเบ้าตา ถ้าสงสัยว่าเบ้าตาอยู่ตรงไหน ให้ส่องกระจกแล้วเลิกคิ้วดู จะเห็นกระบอกตาที่ดูลึกเข้าไป นั่นล่ะเบ้าตา ก็ไล้ไปตามแนวนั้นได้เลย จากนั้นใช้อายแชโดว์สีเข้มอันเดิม แตะน้ำนิดหน่อย แล้วใช้พู่กันเขียนลงให้ชิดเส้นขอบตาบน เน้นช่วงตรงหางตา

เป็นสิว...ก็แต่งหน้าให้สวยเด้งได้

สิว สิว..คำนี้สาวๆอยากจะวิ่งหนีไปให้ไกล ใครบ้างล่ะที่อยากเป็นสิว แต่ถ้าเป็นแล้วก็อย่ากังวลหรือเครียดจนโอเว่อร์เพราะสิวเป็นเรื่องธรรมชาติเกิดขึ้นเองก็หายไปเองนั่นแหละจ้า

แต่ถ้าวันหนึ่งคุณเกิดมีนัดกับชายหนุ่มที่แอบปิ๊ง...แต่เจ้ากรรม... เจ้าสิวดันเห่อขึ้นมาแบบไม่ทันตั้งตัว...แล้วทีนี้จะทำอย่างงัยดีล่ะ...ไม่เป็นไร วันนี้เรา มีวิธี แต่งหน้าเมื่อเป็นสิวมา ฝากเจ้าข้า

อยู่ๆสิวเม็ดเล็กๆก็เห่อขึ้นมาเต็มหน้า..อย่ากังวลค่ะ เพื่อนๆลองใช้โลชั่นที่มีส่วนผสม Salicylic Acid มาแต้มที่ตุ่มสิวเบาๆ ก่อนนอนทุก คืน และเมื่อถึงเวลาที่ต้องแต่งหน้าก็นำ น้ำแข็งเกล็ดเล็กๆวางลงบนสิวสักประมาณ 40 นาที หลังจากนั้นก็ใช้คอนซิลเลอร์ปกปิดริ้วรอยทาทับที่สิวแล้วค่อยแต่งหน้าตามขั้นตอนปกติค่ะ..เพียงเท่านี้ก็จะช่วยอำพรางเจ้าสิวเม็ดเล็กๆได้แล้วคราวนี้ก็ออกเดทกับชายหนุ่มได้เลย

ฮะเดี๋ยวก่อน...ลืมบอกไปเพื่อนๆอย่าบีบหรือแกะสิวเป็นอันขาดนะคะเพราะจะทำให้เกิดอาการบวมซ้ำคราวนี้จะแต่งหน้ากลบเกลื่อนอย่างไรก็ช่วยไม่ได้....แล้วจะหาว่าไม่เตือนนะ

ขั้นตอนการทามอยส์เจอไรเซอร์เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด

ขั้นตอนการทามอยส์เจอไรเซอร์เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด

1. หลังจากล้างหน้าเสร็จ ควรซับหน้าให้แห้งหมาดๆ ไม่ควรถูหน้าแรงๆ
2. ควรทามอยส์เจอไรเซอร์ขณะที่ผิวยังชื้นอยู่
3. นวดเบาๆ เป็นแนววงกลมย้อนขึ้นด้านบน โดยอย่าลืมทาบริเวณคอ หากเป็นคนผิวมันไม่ควรนวดหน้ามากเกินไป เพราะจะยิ่งกระตุ้น ต่อมน้ำมันใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวมันมากขึ้น
4. เมื่อทาครีมบริเวณตา ควรทาอย่างเบามือ โดยใช้นิ้วนางแตะผิวเบาๆ จากหางตามาที่หัวตา
5. ควรทามอยส์เจอไรเซอร์สูตรปราศจากน้ำมัน พร้อมทั้งผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด และรอให้แห้งสักพักก่อนแต่งหน้า ทั้งนี้เพื่อให้เครื่องสำอางติดทนนาน ไม่ไหลเยิ้ม
6. ไม่ควรทาครีมบำรุงตาบริเวณหนังตาด้านบน ก่อนนอน เพราะอาจทำให้ตาบวมหลังตื่นนอนตอนเช้า

เคล็ดลับ.... ต่อต้านริ้วรอย

เลือกใช้ครีมบำรุงผิวอย่างไรจึงจะดี
ครีมบำรุงผิวโดยทั่วไปจะมีองค์ประกอบหลัก คือ น้ำ น้ำมัน และสารอีมัลชั่น ซึ่งจะช่วยให้น้ำและน้ำมันเข้ากันเป็นเนื้อครีมอย่างที่เห็นโดยทั่วไป ครีมบำรุงผิวที่ดี เมื่อทาบนผิวหนังแล้ว เนื้อครีมควรจะเข้ากับผิวหนังได้ดี ไม่ทำให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะและเนื้อครีมควรกระจายได้ง่ายบนผิวหนัง ที่สำคัญต้องช่วยปกป้องผิวหนังได้นานหลายชั่วโมงในแต่ละวัน องค์ประกอบของน้ำมันต้องซึมซาบได้ดี สามารถซึมลึกสู่ผิวหนังกำพร้าชั้นลึกลงไปได้ ปัจจุบันจึงมีการเลือกสรรชนิดของน้ำมันที่จะให้ประโยชน์ต่อผิวหนังมากกว่าการเป็นเพียงน้ำมันที่เป็นสารหล่อลื่นผิวหนังธรรมดา เช่น น้ำมันโจโจ้บา น้ำมันจากดอกทานตะวัน น้ำมันจากผลแตงกวา และอื่น ๆ น้ำมันที่สกัดจากสมุนไพรธรรมชาติเหล่านี้ อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อเซลล์ผิวหนัง นอกจากนี้ครีมบำรุงผิวที่ดีควรจะมีอาหารเสริมให้แก่ผิวหนังอีกด้วย วิตามินชนิดต่าง ๆ รวมถึงสมุนไพรที่ได้รับการวิจัย ค้นพบและรับรองว่าปลอดภัย เช่น วิตามินเอ, วิตามินอี, วิตามินซี, โคเอ็นไซม์ Q10 เป็นต้น


เคล็ดลับ.... ต่อต้านริ้วรอย

คุณเคยรู้สึกแปลกใจบ้างไหมว่าเหตุใดผู้หญิงบางคนจึงมีประกายความงามโดดเด่น สะดุดตาคุณเหลือเกิน ทั้ง ๆ ที่เธอผู้นั้นก็ไม่ได้มีใบหน้าที่สวยสมบูรณ์แต่อย่างใด อันที่จริงแล้วคุณเองก็สามารถเป็นอีกคนหนึ่งที่มีความงามโดดเด่นได้เช่นกัน เพียงเอาใจใส่และดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ

เคล็ดลับง่าย ๆ ของการมีผิวสวยใส ไร้ริ้วรอย คือ การรู้จักเลือกใช้ครีมบำรุงผิวอย่างเข้าใจ

เลือกใช้ครีมบำรุงผิวอย่างไรจึงจะดี
ครีมบำรุงผิวโดยทั่วไปจะมีองค์ประกอบหลัก คือ น้ำ น้ำมัน และสารอีมัลชั่น ซึ่งจะช่วยให้น้ำและน้ำมันเข้ากันเป็นเนื้อครีมอย่างที่เห็นโดยทั่วไป ครีมบำรุงผิวที่ดี เมื่อทาบนผิวหนังแล้ว เนื้อครีมควรจะเข้ากับผิวหนังได้ดี ไม่ทำให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะและเนื้อครีมควรกระจายได้ง่ายบนผิวหนัง ที่สำคัญต้องช่วยปกป้องผิวหนังได้นานหลายชั่วโมงในแต่ละวัน องค์ประกอบของน้ำมันต้องซึมซาบได้ดี สามารถซึมลึกสู่ผิวหนังกำพร้าชั้นลึกลงไปได้ ปัจจุบันจึงมีการเลือกสรรชนิดของน้ำมันที่จะให้ประโยชน์ต่อผิวหนังมากกว่าการเป็นเพียงน้ำมันที่เป็นสารหล่อลื่นผิวหนังธรรมดา เช่น น้ำมันโจโจ้บา น้ำมันจากดอกทานตะวัน น้ำมันจากผลแตงกวา และอื่น ๆ น้ำมันที่สกัดจากสมุนไพรธรรมชาติเหล่านี้ อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อเซลล์ผิวหนัง นอกจากนี้ครีมบำรุงผิวที่ดีควรจะมีอาหารเสริมให้แก่ผิวหนังอีกด้วย วิตามินชนิดต่าง ๆ รวมถึงสมุนไพรที่ได้รับการวิจัย ค้นพบและรับรองว่าปลอดภัย เช่น วิตามินเอ, วิตามินอี, วิตามินซี, โคเอ็นไซม์ Q10 เป็นต้น


วิตามินเหล่านี้ได้ชื่อว่าเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ หรือสารต้านการเกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของริ้วรอยแห่งวัย ซึ่งสารต้านการเกิดอนุมูลอิสระสามารถจำแนกได้เป็น 2 ชนิด คือ
1. สารแอนตี้ออกซิแดนท์ชนิดเอนไซม์ (Enzymatic Anti-Oxidants) ปกป้องเซลล์ที่อยู่ภายในร่างกาย ได้แก่ ซุปเปอร์ออกไซด์ ดิสมิวเทส (Super Oxide Dismutase - SOD) คาทาเลส (Catalase) กลูทาไทโอน เพอร์ออกซิเดส (Glutathione Peroxidases - GSHP) กลูทาไทโอน รีดักเทส (Glutathione Reductase) และกลูโคส-6-ฟอสเฟต ดีไฮโดรจีเนส (Glucose-6-Phosphate Dehydrogenase - G-6-PD)


2. สารแอนตี้ออกซิแอนท์ที่ไม่ใช่เอนไซม์ (Non-Enzymatic Anti-Oxidants) มีโมเลกุลขนาดเล็ก ทำงานได้ทั้งภายในและภายนอกเซลล์ แต่จะทำงานภายนอกเซลล์เป็นส่วนใหญ่ คือ ในเส้นเลือด และระหว่างชั้นเนื้อเยื่อ โดยแบ่งประเภทตามการละลายได้เป็น 2 ชนิด
2.1 ไฮโดรฟิลิก แอนตี้ออกซิแดนท์ (Hydrophilic Anti-Oxidants) คือ สารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในน้ำ เช่น กรดแอสคอร์บิกหรือวิตามินซี
2.2 ไลโพฟิลิก แอนตี้ออกซิแดนท์ (Lipophilic Anti-Oxidants) คือ สารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในไขมัน ได้แก่ อัลฟ่า โตโกฟิรอล (Alpha Tocopherol) หรือวิตามินอี, เบต้าแคโรทีน (Beta Carotene), ยูบีควิโนน-ยูบีควินอล (Ubiquinone-Ubiquinol) และรีดิวส์ กลูทาไทโอน (Reduced Glutathione - GSHR)


ผิวชั้นนอก (Epidermis) มีปริมาณของสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากกว่าผิวชั้นใน (Dermis) หลายเท่า เนื่องจากเป็นส่วนที่ปกคลุมร่างกายชั้นนอกสุด จึงต้องมีระบบต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นปราการด่านแรกในการปกป้องผิวจากมลภาวะต่าง ๆ


คุณสมบัติสำคัญของสารแอนตี้ออกซิแดนท์ในอุดมคติที่นักวิทยาศาสตร์คิดค้นเพื่อนำมาใช้ผสมในครีมบำรุงผิวต่อต้านริ้วรอย คือ
1. มีหน้าที่สำคัญทางสรีรศาสตร์ต่อผิวหนัง
2. สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระได้หลายชนิด
3. หาง่าย ไม่เป็นพิษและไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง
4. ดูดซึมทางผิวหนังได้ดีในรูปของสารออกฤทธิ์
5. ผลิตภัณฑ์มีความคงตัว
6. ไม่เกิดการสันดาปกับออกซิเจนได้ง่าย ๆ ในบริเวณส่วนของผิวที่ต้องการการซ่อมแซมและปกป้อง

ส่วนผสมสำคัญในครีมบำรุงผิวและต่อต้านการเกิดริ้วรอย

วิตามินซี (Ascorbic Acid)
ทำหน้าที่กำจัดอนุมูลอิสระและเป็นองค์ประกอบร่วมของเอนไซม์ต่าง ๆ ที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน เช่น เอนไซม์เฟอร์ริกและคิวปริกเมทัลเลี่ยนส์ (Ferric/Cupric Metalions Enzymes) ในขณะเดียวกันวิตามินซียังสามารถทำปฏิกิริยากับอนุมูลอิสระได้หลายชนิด มีความเป็นพิษต่ำ และเป็นตัวดึงวิตามินอีมาจากโตโกฟิรอลแรดิคัลได้ แต่ข้อด้อยของวิตามินซี คือ ถูกทำลายได้อย่างรวดเร็วเมื่อถูกแสง ความชื้น ออกซิเจน ความร้อน และด่าง

ร่างกายต้องการวิตามินซีประมาณวันละ 60 มก. ส่วนผู้หญิงมีครรภ์และผู้สูบบุหรี่ต้องการมากขึ้นเป็นประมาณวันละ 140 มก. อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ผลไม้รสเปรี้ยวและผักใบเขียว การรับประทานวิตามินซีค่อนข้างปลอดภัย เนื่องจากวิตามินซีละลายในน้ำได้ วิตามินซีที่รับประทานเข้าไปจะไปอยู่ในผิวชั้นนอกมากกว่าผิวชั้นในถึง 5 เท่า และมีผลในการช่วยลดปริมาณอนุมูลอิสระในผิว ช่วยสมานแผล ชะลอการร่วงโรยของผิว และป้องกันการเกิดมะเร็งผิวหนัง


วิตามินซีส่วนใหญ่อยู่ในรูปของกรดแอล-แอสคอร์บิก (L-Ascorbic Acid) ได้แก่ แอสคอร์บิลพาลมิเทต และแอสคอร์บิลฟอสเฟต ซึ่งแอสคอร์บิลฟอสเฟตเป็นวิตามินซีที่ละลายน้ำได้ดีและคงตัวอยู่ได้นานถึง 6 เดือน จึงมีผู้นำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์หลายชนิด ส่วนแอสคอร์บิลพาลมิเทตนั้นละลายได้ทั้งในน้ำและไขมัน จึงใช้เป็นส่วนผสมในครีม โลชั่น และน้ำมัน ข้อดีของสารตัวนี้คือมีค่า pH หรือค่าความเป็นกรด-ด่าง ที่เป็นกลางจึงไม่ระคายเคืองต่อผิว


จากการทดสอบพบว่า การทาวิตามินซีบนผิวสามารถลดอาการบวมแดงหรืออาการไหม้จากแสงแดดได้ โดยหากผสมวิตามินอี ลงไปด้วยก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ได้ผลใกล้เคียงกับครีมกันแดดที่มีออกซิเบนโซนเป็นส่วนประกอบ และหากใช้วิตามินซี วิตามินอี และออกซิเบนโซน ร่วมกันก็จะสามารถป้องกันภาวะพิษจากแสงแดดได้เกือบ 100% อย่างไรก็ตาม วิตามินซีไม่สามารถป้องกันการหย่อนยานของผิวได้ รวมทั้งยังไม่มีผลการศึกษาและทดสอบกับคนจำนวนมาก เพื่อยืนยันว่าวิตามินซีมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใดในเรื่องดังกล่าว

วิตามินอี (Alpha-Tocopherol)
วิตามินอีประกอบด้วยโทโคฟีโรลส์ (Tocopherols) และโทโคเทรียโนลส์ (Tocotrienols) ซึ่งพบในผัก น้ำมันพืช เมล็ดพืช ข้าวโพด ถั่ว แป้งสาลี เนยเทียม เนื้อสัตว์ และนม วิตามินอีเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์สำคัญในพลาสม่าและเม็ดเลือดแดงที่ช่วยปกป้องสารประกอบไขมัน (Lipid) ในเนื้อเยื่อเซลล์จากอนุมูลอิสระ จากการศึกษาพบว่า ผิวหนังบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก เช่น ใบหน้า มีปริมาณวิตามินอีมากกว่าผิวหนังบริเวณแขนถึง 20 เท่า เนื่องจากต่อมไขมันคือช่องทางสำคัญในการนำวิตามินอีสู่ผิวหนัง วิตามินอีสามารถละลายได้ในไขมัน ทนความร้อนและความเป็นกรด-ด่างได้ดี แต่จะเสื่อมสภาพเมื่อสัมผัสกับแสงและออกซิเจน


ร่างกายสามารถรับวิตามินอีได้ถึงวันละ 3,000 มก. อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานโดยไม่เป็นอันตราย แต่สำหรับผู้ที่มีอาการของความดันโลหิตและเบาหวาน ไม่ควรใช้ในขนาดสูงกว่า 4,000 มก. และพบว่ายาระบายและยาคุมกำเนิดมีฤทธิ์ต้านวิตามินอีด้วย วิตามินอีมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องการรักษาความเยาว์วัยของผิว คือ ช่วยในเรื่องการสร้างตัวของเซลล์ใหม่ การทำงานของต่อมและฮอร์โมน รวมทั้งการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายไป การขาดวิตามินอี ทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงเปราะ แตกง่าย และคอลลาเจนที่ผิวหนังลดลง จึงเกิดเป็นริ้วรอย และมีการสะสมของไขมันอย่างผิดปกติ

ผลการทดลองพบว่า วิตามินอี สามารถลดอาการไหม้จากแสงแดด ช่วยลดริ้วรอย และทำให้ผิวอ่อนนุ่มขึ้น ในการทดลองเกี่ยวกับมะเร็งผิวหนัง การทาและการรับประทานวิตามินอีจะช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งในสัตว์ทดลองได้ ส่วนการรับประทานวิตามินเอและวิตามินอีอย่างสม่ำเสมอ ก็สามารถลดอัตราเสี่ยงในการเกิดเซลล์มะเร็งขั้นพื้นฐานได้ถึง 70% และพบด้วยว่า การรับประทานวิตามินอีวันละ 400 มก. ในผู้ที่เป็นแผลในกระเพาะอาหารจะทำให้แผลหายเร็วกว่ากลุ่มที่ใช้ยาหลอก แต่การทาวิตามินอีกลับไม่มีผลต่อความหนาและสภาพของแผลเป็น


วิตามินเอ (Retinol)
พบมากในพืชที่มีสีเขียวและเหลือง ไข่แดง เนย ตับ และน้ำมันตับปลา ร่างกายจะสะสมวิตามินเอไว้ในตับ วิตามินเอจะออกฤทธิ์เมื่อแปรสภาพเป็นกรดเรติโนอิก แต่จะเสื่อมสภาพจากแสง ออกซิเจน และค่า pH ที่เปลี่ยนแปลง สารธรรมชาติและอนุพันธ์สังเคราะห์จากวิตามินเอนั้นเรียกรวม ๆ ว่า เรตินอยด์ (Retinoids) เรตินอยด์ เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง อาทิ ช่วยควบคุมการเจริญเติบโต แยกความแตกต่างของเซลล์บุผิว ชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง ลดอาการอักเสบ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันโรค กระตุ้นการซ่อมแซมผิวหนังที่ถูกทำลายจากแสงแดด ช่วยยับยั้งกระบวนการสร้างเอนไซม์เมทาลโลโปรตีเนส (Metallo Proteinase Enzyme) ที่เป็นตัวการในการสลายคอลลาเจน นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการเสริมสร้างคอลลาเจนอีกด้วย การทาเรตินอยด์จะช่วยลดริ้วรอย ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น กระ ฝ้า จางลง ลดจำนวนและขนาดของแอคตินิค เคราโตส (Actinic Keratoses)


เบต้าแคโรทีน (Beta Carotene)
สารตั้งต้นของวิตามินเอ ทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระและปกป้องเนื้อเยื่อเซลล์จากอนุมูลอิสระไลพิดเพอร์ออกไซด์ (Lipid Peroxidation) พบมากในผักใบเขียว แครอท มันฝรั่งหวาน แคนตาลูป เนื้อสัตว์ เนย และเนยแข็ง และถูกดูดซึมสู่ร่างกายได้ดีเมื่อรับประทานร่วมกับอาหารที่มีไขมัน


ในการทดลองกับสัตว์พบว่า เบต้าแคโรทีน สามารถยับยั้งมะเร็งผิวหนังที่เกิดจากแสงแดด แต่ประสิทธิภาพนี้ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ในคน เราสามารถรับประทานเบต้าแคโรทีนได้ถึงวันละ 180 มก. โดยไม่เป็นอันตราย แต่หากรับประทานมากกว่า 30 มก. ติดต่อกันเป็นเวลานานอาจทำให้ผิวเป็นสีเหลืองได้


วิตามินบี 3 (Niacinamide)
วิตามินที่ละลายในน้ำ พบในเนื้อเยื่อ ทำหน้าที่เผาผลาญสารอาหารเพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย มีคุณสมบัติในการสร้างคอลลาเจน เพิ่มอัตราการผลัดตัวของเซลล์ผิวเก่า และกระตุ้นการสร้างฟิแลกกริน (Filaggrin) และอินโวลูกริน (Involucrin) มีความคงตัวสูงเมื่อถูกแสง ออกซิเจน และความร้อน สามารถทำงานร่วมกับวิตามินอีได้ดี


โคเอ็นไซม์ คิวเท็น และ โค คิวเท็น ยูบีควิโนน (Co-Enzyme Q10, Co Q10 Ubiquinone)
โคเอ็นไซม์ คิวเท็น เป็นโมเลกุลเล็ก ๆ ที่มีอยู่ในเซลล์ของร่างกายตามธรรมชาติ ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกเมื่อ 40 ปีมาแล้ว หลังจากนั้นก็ได้มีการใช้โคเอ็นไซม์ คิวเท็นกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งทำหน้าที่สำคัญในกระบวนการเผาผลาญเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงาน พบมากในอวัยวะที่มีการเผาผลาญสูง ได้แก่ หัวใจ ไต และตับ หากขาดคิวเท็น เซลล์จะเสื่อมสภาพ เป็นผลให้ผิวพรรณทรุดโทรมและเกิดริ้วรอยก่อนวัย ส่วนยูบีควินอลซึ่งเป็นรูปลดทางเคมีของยูบีควิโนน มีคุณสมบัติเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ละลายในไขมันเพียงชนิดเดียวที่ร่างกายสร้างขึ้นมาได้เอง จะพบยูบีควินอลในบริเวณผิวหนังชั้นนอกมากกว่าผิวชั้นในถึง 10 เท่า


ในการทดสอบบนเซลล์ผิวหนังมนุษย์ โคเอ็นไซม์ คิวเท็น สามารถป้องกันการสันดาปจากแสงยูวีเอ ช่วยชะลอความเสื่อมตามธรรมชาติ ให้เซลล์สร้างเส้นใยด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ เพิ่มระดับของกรดไฮยาลูโรเนทที่ให้ความชุ่มชื้นในผิวชั้นใน ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ในเคราติโนไซด์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของผมและเล็บ มีความระคายเคืองต่ำแม้จะใช้ในปริมาณความเข้มข้นสูง สามารถใช้ในผิวบอบบาง แต่อาจมีอาการคันยิบ ๆ รอบจมูกเมื่อใช้ร่วมกับเครื่องสำอางบางชนิด อย่างไรก็ตาม จากการทดลองกับหนู พบว่า โคเอ็นไซม์ คิวเท็น ไม่ได้ช่วยยืดอายุ และไม่มีผลต่อการสะสมตัวของกระสีที่เกิดจากไขมันในเนื้อเยื่อซึ่งพบในสิ่งมีชีวิตที่อายุมากแล้ว จากการทดลองทาโคเอ็นไซม์ คิวเท็น สังเคราะห์รอบดวงตาของอาสาสมัคร พบว่าสามารถลดรอยย่นรอบดวงตาได้ ในปัจจุบันมีการนำโคเอ็นไซม์ คิวเท็นมาใช้เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์เพื่อป้องกันและรักษาโรคหลายชนิด รวมทั้งชะลอความแก่


ซุปเปอร์ออกไซด์ ดิสมิวเทส (Super Oxide Dismutase - SOD)
เป็นเอ็นไซม์ชนิดหนึ่งในระบบป้องกันที่เป็นตัวทำลายอนุมูลอิสระที่เกิดจากการเผาผลาญภายในของร่างกาย จากการทดลองพบว่า การเลี้ยงหนอนปกติด้วยสารสังเคราะห์ที่คล้ายกับซุปเปอร์ออกไซด์ ดิสมิวเทส จะช่วยยืดอายุได้ถึง 44% และในหนอนที่แก่เร็วกว่าปกติจะช่วยยืดอายุได้ถึง 67%

สารประกอบฟลาโวนอยด์ (Flavanoids Compounds)
สามารถยับยั้งเอ็นไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างอนุมูลอิสระ เช่น แซนทีน ออกซิเดส (Xanthine Oxidase) และไลโปเปอร์ออกซิเดส (Lipo Peroxidase) นอกจากนี้ยังสามารถต่อต้านอนุมูลอิสระและปกป้องการแตกตัวของดีเอ็นเอ (DNA) ได้ด้วย สารในกลุ่มนี้ ได้แก่ รูติน (Rutin) พีโนจีนอล (Pynogenol) เควอเซติน (Quercetin) แคทเทชิน (Catechin) และแนรินกิน (Naringin) โดยที่สารรูตินและเควอเซติน มีความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินซีถึง 10 เท่า รูตินและกรดโคลโรเจนิก (Chlorogenic Acid - CGA) พบมากในใบยาสูบ ส่วนพีโนจีนอลหรือวิตามินพี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทนความร้อนได้ดี สกัดได้จากเปลือกสน (French Maritime Pine) และเมล็ดองุ่น

นอกจากวิตามินที่ผ่านการทดสอบมาอย่างมากมายแล้ว สมุนไพรไทย ๆ เช่น ว่านหางจระเข้ หรืออโลเวร่า ก็นับเป็นสมุนไพรหลักในวงการวิทยาศาสตร์ทั่วไปว่ามีประโยชน์มหาศาลต่อผิวหนัง มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับวิตามินอีธรรมชาติ คือ ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ในผิวหนังชั้นลึกที่สุดของหนังกำพร้า มีผลทำให้ช่วยสมานแผล รวมถึงการใช้ทารักษาแผลน้ำร้อนลวก แผลเป็น ฯลฯ และมีการวิจัยพบว่า ส่วนผสมของวิตามินอี คือ ดีแอล-แอลฟ่า-โทโกเฟอรอล (DL-Alfa-Tocopharol) ร่วมกับอโลเวร่า ในครีมบำรุงผิวจะช่วยป้องกันผิวหนังจากดวงอาทิตย์ได้อีกด้วย


ควรใช้ครีมบำรุงผิวบ่อยแค่ไหน
การใช้ครีมบำรุงผิวควรใช้อย่างสม่ำเสมอ เช่น ทุกครั้งที่อาบน้ำชำระร่างกาย เป็นการป้องกันไม่ให้ผิวหนังแตกเป็นขุย บางคนผิวแห้งแตกเป็นขุยและมีอาการคันร่วมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน้าหนาว มักจะเกิดการคันสาเหตุจากผิวหนังแห้งมากนั่นเอง การใช้ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของวิตามินธรรมชาติและสารสกัดจากสมุนไพรก็จะช่วยเพิ่มประโยชน์และคุณค่าต่อผิวหนังมากยิ่งขึ้น

หากคุณรู้จักวิธีเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

เมนูอาหารเพื่อผิวผ่อง

อาหารที่ดีกับผิวพรรณ

เนื้อปลา
เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมเซลล์ของร่างกายที่เสื่อมโทรม และยังมีเซเลเนียม ซึ่งเป็นสารต้าน
อนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความชราและความเสื่อมของร่างกาย

น้ำมันมะกอก
น้ำมันมะกอก เป็นน้ำมันจากพืชที่แม้จะมีแคลอรี่สูงก็จริง แต่มีข้อดีคือ มีกรดไขมันชนิดที่เป็นประโยชน์กับร่างกายสูง และเป็นไขมันชั้นดี ซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือดและที่สำคัญในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วยวิตามินเอ และอี ที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ทำให้ผิวดูอ่อนวัยคงความชุ่มชื้นและเนียนนุ่ม

เมล็ดข้าวและธัญพืช
ไม่ว่าจะเป็นข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ด ข้าวโพด ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำ งา นอกจากจะมีวิตามินบีสูงแล้ว ยังมีวิตามินอี ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ซึ่งจะช่วยสร้างและรักษาความแข็งแรงของเซลล์ มีงานวิจัยระบุว่าวิตามินอี ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และช่วยปกป้องความเสียหายที่เกิดจากมลภาวะให้แก่ผิว

ผลไม้และผักสด
ผักสด มีวิตามินเอ ช่วยทำให้ผิวหนังไม่แห้ง และยังสดใสเปล่งปลั่งอยู่เสมอ และยังมีวิตามินซีซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างเส้นใย
คอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ผิวพรรณของใบหน้าดูเต่งตึง มีความยืดหยุ่น ผักสดและผลไม้ จึงควรเป็นอาหารที่คุณควรบรรจุไว้ในเมนู
อาหารทุกมื้อของคุณ ผลไม้ที่มีวิตามินซีมาก ได้แก่ ส้ม มะนาว มะเขือเทศสับปะรด ฝรั่ง ส่วนผักและผลไม้ที่มีวิตามินเอมาก ได้แก่ กล้วย
มะละกอ ฟักทอง แครอท

น้ำเปล่า
น้ำทำหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับทุกระบบภายในร่างกาย และหากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวพรรณไม่สดใส การดื่มน้ำวันละ6-8 แก้วโต ๆ เป็นวิธีที่ทำให้ผิวผ่อง แบบไม่ต้องลงทุนมาก เพราะน้ำจะช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ และยังป้องกันผิวหย่อนยานจากการลดน้ำหนักอย่างอวบฮาบอีกด้วย

ตัวอย่างเมนูอาหารเพื่อผิวผ่อง
มื้อเช้า : สลัดผลไม้ราดด้วยโยเกิร์ตหรือสลัดผักสดกับน้ำสลัดใส
มื้อเที่ยง : ปลาจาระเม็ดนึ่ง แกงเลียง ข้าวกล้อง
มื้อว่าง : นมถั่วเหลือง หรือน้ำผลไม้คั้นสด ๆ
มื้อเย็น : ลาบเห็ด ซุบเต้าหู้ ข้าวกล้อง
อาหารที่ทำลายผิวพรรณ
1. ไขมันอิ่มตัวในเบคอน ไส้กรอก ไอศกรีม และเนยสด กระบวนการเผาผลาญอาหารเหล่านี้ จะเกิดอนุมูลสารอิสระสูง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เซลล์ของร่างกายเหี่ยวย่น และเสื่อมโทรม

2. รับประทานอาหารที่มีน้ำตาลมากเกินไป มีผลขัดขวางกระบวนการสร้างคอลลาเจนของเซลล์ผิว ทำให้ผิวหย่อนยาน

3. คาเฟอีน เป็นตัวที่ดูดซับความชื้นจากผิว ถ้าคุณติดกาแฟจนยากที่จะเลิก เมื่อคุณดื่มกาแฟ 1 แก้ว ก็ควรดื่มน้ำเปล่าแก้วโต ๆ ตามไป
1 แก้วเช่นกัน เพื่อป้องกันไม่ร่างกายขาดน้ำ และผิวพรรณขาดความชุ่มชื้นไปด้วย

4. แอลกฮอล์ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผิวพรรณ ขาดความเปล่งปลั่ง ถ้าคุณเป็นนักดื่ม ทุกครั้งที่ดื่มแอลกฮอล์ อย่าลืมดื่มน้ำเปล่าแก้วโต
2 แก้ว เพื่อชดเชยไม่ให้ร่างกายสูญเสียน้ำ และช่วยป้องกันไมให้ผิวขาดความชุ่มชื้น

สูตรอาหารเพื่อผิวสวย
สลัดผลไม้
ปลาจาระเม็ดนึ่ง
เมี่ยงเห็ด
น้ำพริกคั่วทูน่า
Smooties ผลไม้
แอปเปิ้ลคูลเลอร์
ซุปเต้าหู้
เมนูยำ

ล้างหน้าอย่างไรให้ผิวใสตลอดวัน

^o^ เริ่มที่การล้างหน้าเพียงวันละ 2 ครั้งก็เพียงพอค่ะ ตื่นนอนตอนเช้าและอาบน้ำตอนเย็นก็เพียงพอ ไม่ควรล้างหน้าบ่อยครั้งเกินไปเพราะจะทำให้ผิวแห้ง ลอกได้ กรณีที่ผิวของคุณสกปรกจริง ๆ เช่น หลังเล่นกีฬา ทำสวน ทำไร่ ปลูกต้นไม้ หรือคุมงานก่อสร้าง ซ่อมแซมบ้าน ก็อาจจะเพิ่มการล้างหน้ารอบพิเศษอีกสักครั้งได้

^o^ ที่สำคัญ อย่าใช้น้ำอุ่นหรือน้ำร้อนล้างหน้านะคะเพราะจะทำให้ผิวแห้งและแลดูเหี่ยว ๆ อีกต่างหาก เวลาล้างก็ขอแค่ลูบไล้แต่เบามือ ไม่เช็ด ไม่ถู ถ้าใช้คลีนเซอร์หรือเอ็กซเทอร์นอลเช็ดหน้ากันตลบจนเกลี้ยงเกลา คงต้องเลิกนะคะเพราะจะทำให้ผิวถลอกลอกได้

^o^ คุณทราบไหมว่าชั้นขี้ไคลก็คือชั้นหนังกำพร้าที่เกาะติดอยู่บนผิวหนังชั้นบนควบคู่ไปกับชั้นน้ำมันเคลือบผิว ทั้งขี้ไคล ทั้งน้ำมันไม่ใช่สิ่งสกปรกอย่างที่ใคร ๆ เข้าใจผิดนะคะ หากแต่เป็นเกราะที่คอยคุ้มครองปกป้องผิวหน้าจากฝุ่นละออง เชื้อโรคและสารเคมีไม่ให้ซึมผ่านลงไปทำร้ายผิว

^o^ หากคุณเช็ดถู ล้างหน้าจนเกลี้ยง ชั้นน้ำมัน ชั้นขี้ไคลก็ไม่เหลือ ผิวหน้าของคุณก็ดั่งปราศจากเกราะ ขาดภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ เราจะพบว่าคนที่ล้างหน้าบ่อย ๆ ใช้น้ำยา ใช้โทนเนอร์เช็ดหน้า มักจะมีปัญหาผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย กลายเป็นผิวบอบบางโดนอะไรนิด อะไรหน่อยก็แพ้เป็นผื่นหรือคันได้

^o^ วิธีแก้ผิวแพ้ง่าย ให้ใช้มาตรการ "ยุ่งกับผิวให้น้อยที่สุด" แล้วจะหายเองค่ะ แต่ถ้าคุณแต่งหน้า มีเครื่องสำอางค์รองพื้นเต็มใบหน้า หากเครื่องสำอางค์ไม่ได้กันน้ำ คุณก็สามารถเลือกใช้สบู่เจลใสอ่อน ๆ ของเบบี้หรือของผู้ใหญ่ก็ใช้ได้ เลือกประเภทที่ไม่มีฟอง ไม่มีน้ำหอมจะได้ไม่ระคายเคืองขึ้นมาอีก

^o^ เวลาล้างก็แค่เอาน้ำลูบ ไล้ ๆ เจลใสหรือโฟมที่ไม่มีฟองเหล่านี้เบา ๆ ทั่วหน้าแล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่าอย่างเบามือ แค่นี้ก็สะอาดแล้วล่ะค่ะ

^o^ หลังล้างหน้าให้ซับเบา ๆ ไม่เช็ด ไม่ถู ผิวจะได้ไม่หยาบกร้านและไม่ต้องใช้โทนเนอร์เช็ดหน้าหรอกนะคะ หากล้างหน้าเสร็จแล้ว คุณรู้สึกลื่น ๆ เหมือนไม่เกลี้ยง ซับหน้าเบา ๆ ด้วยผ้าขนหนู ไม่ต้องไปวิตกจริตว่ามันจะลงไปอุดตันทำให้เกิดสิวหรอกนะคะ ถ้าจะเป็นสิวก็เป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดจากฮอร์โมนเพศในตัวคุณเอง

^o^ โดยธรรมชาติ ผิวหนังกำพร้าของคนเราจะหลุดลอกออกมาเองทุกวัน ก็จะพาเอาแป้ง เอาฝุ่นให้หลุดลอกออกมาด้วย ไม่ต้องออกแรงถู ไม่ต้องเสียเงินซื้อคลีนเซอร์ โทนเนอร์ ชุดล้างหน้าแพง ๆ มาใช้หรอกนะคะ เสียดายเงิน สงสารประเทศไทยกันบ้าง ต้องเสียเงินออกนอกประเทศไปกับเครื่องสำอางค์แพง ๆ เหล่านี้

^o^ คุณจะใช้สบู่เหลวของเด็กขวดละ 70 บาทหรือชุดล้างหน้าสุดหรูยี่ห้อดังชุดละ 7,000 บาท หน้าก็สะอาดใสได้เท่ากันค่ะ ที่เคยผิดพลาดกันมานานก็ถือว่าแล้วกันไป ถือเป็นความผิดโดยสุจริตก็แล้วกันนะคะ

^o^ โดยสรุปแล้ว ให้ล้างหน้าเบา ๆ เช้าครั้งเย็นหน ใช้สบู่เหลว เจลใสหรือโฟมไร้ฟอง ลูบไล้เบา ๆ เอาแค่พอลื่น ๆ ไม่ต้องสะอาดเอี่ยมอ่องนะคะ แล้วก็ซับหน้าเบา ๆ ไม่ต้องเช็ด ไม่ต้องถู อะไรที่เคยใช้เช็ด ๆ ถู ๆ ผิวหน้า กลับบ้านไปโยนทิ้งได้เลยค่ะ

ขัดผิวด้วยโยเกิร์ต

ขัดผิวด้วยโยเกิร์ต

คุณสาว ๆ คงเคยได้ยิน มาบ้างแล้วว่า โยเกิร์ต สามารถช่วย ทำให้คุณไม่อ้วนได้ และยังมีสรรพคุณ บำรุงผิวได้ด้วย คุณจะ เชื่อหรือไม่… แต่เดี๋ยวนี้ คุณสามารถ นำโยเกิร์ต มาบำรุงผิว ได้โดยตรง ผลที่จะได้รับนั้น คุณจะเห็นทันใจเลยละ และสัมผัส ได้ด้วยตัวของคุณเอง สัมผัสถึงความชุ่มชื่น นุ่มละมุนของผิวคุณ อย่างแท้จริง คุณลองดูซิ

สิ่งที่ต้องเตรียม
1. โยเกิร์ต 3 ถ้วย
2. อัลมอนด์ 1 ถ้วย

ขั้นตอนการปฏิบัติ
1. บดอัลมอนด์ แล้วนำมาผสมกับโยเกิร์ต ให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน (อัลมอนด์เมื่อบดแล้ว จะเป็นเหมือน เนื้อทรายละเอียด ๆ)
2. อาบน้ำให้สะอาด และซับร่างกายให้แห้ง จากนั้นใช้ปลายนิ้ว แตะครีมโยเกิร์ต ทาที่บริเวณร่างกายให้ทั่ว
3. ใช้ปลายนิ้ว นวดคลึงแรง ๆ (แต่ไม่ต้องใส่อารมณ์มากนัก) พอควรนะ เหมือนกับกำลังขัดผิวไปด้วย
คำแนะนำ
ควรใช้โยเกิร์ต ที่ไม่มีส่วนผสม ผลไม้เลย และถ้าคุณมีเครื่องปั่น สามารถนำอัลมอนด์ ปั่นผสมกับโยเกิร์ตได้ ระหว่างขัดผิว ด้วยโยเกิร์ตผสมอัลมอนด์ ควรจะขัดให้ทั่วถึง และใช้เวลา พอสมควร คุณจึงจะได้ผิวพรรณที่ชุ่มชื่น และผ่อนคลาย อย่างแท้จริง
* สูตรนี้สามารถขัดผิวหน้า เพียงอย่างเดียวก็ได้ โดยลด ส่วนผสมลงเป็น โยเกิร์ตครึ่งถ้วย/อัลมอนด์ 1 ช้อนโต๊ะ

5 เคล็ดลับรักษาผิวสาว

5 เคล็ดลับรักษาผิวสาว

การปล่อยปละละเลยให้ผิวชำรุดทรุดโทรมจนดูร่วงโรยก่อนวัย แม้เครื่องสำอางชั้นดีแค่ไหนก็ยากที่จะเรียกความสดใสกลับคืนมาได้นอกเสียจะช่วยไม่ให้คุณมีริ้วรอยมากไปกว่านี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณส่วนใหญ่ แนะนำว่าการดูแลผิว ต้องใส่ใจกันตั้งแต่วัยสาวๆนี่แหล่ะค่ะ ยิ่งเริ่มเร็วเมื่อไหร่ ก็จะยิ่งยืดความเสื่อมของเซลล์ไปได้มากขึ้น ลองมาดูเทคนิค 5 ข้อ เพื่อช่วยรักษาผิวสาวให้ดูสดใสไปนานๆค่ะ

1. ทาครีมกันแดด
ผู้รู้เขาบอกว่า 80 % ของการเสื่อมของผิวหนังเกิดจากแสงแดด รังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดด เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดริ้วรอย เหี่ยวย่น เนื่องจากจะทำลายเส้นใยคอลลาเจน และอีลาสติค ทำให้ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่นได้ แต่อยู่เมืองไทยจะเลี่ยงไม่ให้โดนแดดกันเลย ก็เห็นจะยาก จึงควรทาครีมปกป้องใบหน้าและลำคอเป็นประจำทุกวัน ครีมกันแดดที่ใช้ควรมีค่า SPF 15 ขึ้นไป ส่วนการขับรถในที่แดดจ้า โดยไม่สวมแว่นกันแดด ทำให้คุณต้องหยีตากันคลอดเวลา ก็ทำให้รอยตีนกามาเยือนได้ง่าย ๆ รวมทั้งการเผลอทำหน้านิ่วคิ้วยุ่งๆอยู่บ่อยๆ ก็เป็นที่มาของริ้วรอยทั้งสิ้น
2. ท่านอนทำให้เกิดริ้วรอย
ผู้เชียวชาญด้านผิวพรรณ บอกว่า ในช่วง 6-8 ชั่วโมง ของการนอนในแต่ละวัน มีผลทำให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้าได้ โดยเฉพาะคนที่ชอบนอนซุกหน้ากับหมอนจะทำให้ใบหน้าด้านที่ตะแคงเข้าหาหมอน เกิดริ้วรอยมากกว่าอีกด้าน ยิ่งพวกที่ชอบเอามือก่ายหน้าผาก ก็ยิ่งทำให้เกิดริ้วรอยมากขึ้น ซึ่งอาจหลีกเลี่ยงได้โดยเปลี่ยนมานอนหงายแทนหรือเลือกใช้หมอนที่อ่อนนุ่ม และใช้ปลอกหมอนเนื้อผ้าลื่นๆ อย่างผ้าซาติน จะสามารถแก้ปัญหาในจุดนี้ได้
3. กินอาหารดีๆ
อาหารที่ดี มีประโยชน์ และครบหมวดหมู่ จะช่วยให้ผิวพรรณสดใสได้ โดยเฉพาะวิตามินเอ ซีและอี ซึ่งมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิว และอย่าลืมดื่มน้ำมากๆ วันละ 6-8 แก้ว ส่วนบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกฮอล์เป็นตัวการสำคัญที่บ่อนทำลายผิวหนังให้เสื่อมก่อนวัยอันควร
4. อดนอน ริ้วรอยมาเยือน
การพักผ่อนไม่เพียงพอ นอกจากทำให้สุขภาพทรุดโทรมแล้ว ใบหน้าก็ดูหมองคล้ำ อิดโรย และถ้าคุณอดนอนบ่อย ๆจะทำให้ริ้วรอยมาเยือนก่อนวัย
5. รู้จักผ่อนคลาย
ความเครียดที่ไม่มีโอกาสผ่อนคลาย เปิดโอกาสให้สิวจู่โจมได้ง่ายๆถ้าไม่อยากให้เกิดสิว ซึ่งพลอยทำให้ใบหน้าไม่สดใส ควรหาวิธีผ่อนคลายความเครียด การทำจิตใจให้สงบโดยการทำสมาธิ การฟังเพลงสบายๆ ชื่นชมกับธรรมชาติรอบตัว ให้เวลากับสุนัขของคุณ ก็ช่วยคลายเครียด

หน้าเด้งคืออะไร

หน้าเด้งคืออะไร

เป็นสำนวนคำหนึ่งที่นิยมพูดในหมู่วัยรุ่น เป็นการเปรียบเปรยถึงความสดชื่น สดใส
และเปี่ยมไปด้วยผิวพรรณที่ได้อนามัย ในแตุ้นะวันเราทุกคนต้องเจอกับปัญหาตุ้นๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม รวมไปถึงมลภาวะในอากาศก็มีมากซะจนเรา ทุกคนแทบแย่และสิ่งตุ้นๆ เหล่านี้จึงเป็นบ่อเกิดของ "ความเครียด " กินอะไรก็ไม่ อร่อยออกกำลังกายก็ไม่สนุก แตุ้นวร้ายไปกว่านั้นก็คือ "ภาพสะท้อน" ลองให้เวลา ว่างกับตุ้นวเองสักนิด หากระจกมองดูซิว่า "เราแก่ก่อนวัยหรือปล่าว" นวัตุ้นมใหม่ ล่าสุด KORY SERUM (โครี่ ซีรั่ม) เนผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ใครตุ้นใครพอได้ลองสำผัส แล้ว ยากที่จะห้ามไม่ให้มีการบอกตุ้นสิ่งเหล่านี้จึงเป็นที่มาของ "ครีมหน้าเด้ง"

กระตุ้นการเติบโตของเซลล์และให้ความชุ่มชื้นกับผิวหน้า
- ยับยั้งกระบวนการ Liquid Peroxidation จึงช่วยชะลอความแก่ของผิว - ทำให้ผิวหน้าเนียนนุ่มและขาวใสอย่างเป็นธรรมชาติ
- ช่วยฟื้นฟูสภาพผิวอย่างรวดเร็ว
- บำรุงเซลล์ผิวหน้าให้แข็งแรง

17 สูตร เพื่อผิวสวย

1. หากอยากให้ผิวพรรณผุดผ่องล่ะก็ ก่อนลงเล่นน้ำทะเลควรจะชโลมเบบี้ออยล์ให้ทั่วตัวก่อน แล้วค่อยใช้ทรายที่ชายทะเลขัดผิว ก่อนที่จะไปล้างตัวด้วยการเล่นน้ำทะเล แต่อย่าลืมทาครีมหรือโลชั่นกันแดดที่มี SPF 15 ด้วย ไม่งั้นผิวสวยๆจะไหม้เกรียมซะก่อนนะจ๊ะ

2. ส่วนสาวที่มีผิวบอบบาง ควรป้องกันผิวจากรังสียู่วีในแสงอาทิตย์ได้ด้วยการชโลมน้ำมันอัลมอนด์ลงบนผิวกายทุกครั้งหลังอาบน้ำ หรือจะใช้น้ำมันที่สกัดจากมะพร้าว ก็ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดและลมหนาวได้เหมือนกัน

3. มอยส์เจอไรเซอร์ สำหรับสาวที่มีผิวไวและเกิดการระคายเคืองง่าย ควรเลือกชนิดที่ไม่มีส่วนผสมของกรดหรือน้ำหอม สังเกตได้บนฉลากของผลิตภัณฑ์จะเขียนคำว่า " Comedogenic " หมายถึงผลิตภัณฑ์นั้นจะไม่ทำให้รูขุมขนอุดตันนั่นเอง

4. สาวที่มีผิวธรรมดา แต่มักตกสะเก็ดและคันในช่วงหน้าหนาว ขอแนะนำให้ใช้โลขั่นที่มีความชุ่มชื้น ที่ออกแบบมาสำหรับคงความชุ่มชื้นไว้ในผิวได้ตลอด 24 ชั่วโมง

5. สาวที่อยากมีผิวขาวเนียนสว่างกระจ่างตา ทำได้โดยนำมะขามเปียกมาขัดถูผิวเวลาอาบน้ำ จะช่วยให้ผิวเนียนนุ่มไม่แห้งแตก ยิ่งในช่วงหน้าหนาวอย่างนี้ด้วยยิ่งดีใหญ่ เพราะจะช่วยบำรุงผิวให้นุ่มเนียนน่าสัมผัสมากยิ่งขึ้น

ใส่ใจใบหน้าให้ใสปิ๊ง

6. ดื่มน้ำแร่อย่างน้อย 1.5 ลิตรทุกวัน จะช่วยให้ผิวพรรณและใบหน้าสดใส

7. ใช้น้ำแร่เย็นเฉียบล้างหน้าเป็นประจำเช้า-เย็น จะช่วยลดรอยขรุขระบนใบหน้าได้ น้ำเย็นยังช่วยให้ผิวหน้าปรับสภาพและคืนสมดุลได้อย่างเป็นธรรมชาติอีกด้วย

8. สาวๆหลายคนอาจยังไม่รู้ว่า ผิวหน้าก็หิวน้ำได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นหมั่นฉีดสเปรย์น้ำแร่ให้ใบหน้าคงความชุ่มชื้นได้ตลอดวัน

9. นำน้ำผึ้งมาอุ่นให้ได้อุณหภูมิพอเหมาะ แล้วพอกทาทั่วใบหน้าและลำคอ วิธีนี้จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และเป็นการให้สารอาหารบำรุงกับผิวหน้าด้วย

10. ลองใช้น้ำผึ้งมาผสมน้ำนมอาบเหมือนพระนางคลีโอพัตราบ้างก็ได้ วิธีนี้จะช่วยบำรุงผิวให้นุ่มนวลดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ

11. ใช้เมล็ดอัลมอนด์บดผสมกับโยเกิร์ต พอกทิ้งไว้ 18-20 นาที ใช้น้ำล้างหน้าแล้วใช้ผ้าสะอาดเช็ด จากนั้นล้างหน้าอีกครั้ง แล้วคุณจะรู้สึกได้ถึงผิวหน้าที่นุ่มนวลเนียนใส

ถนอมผิวรอบดวงตา

12. ทำความสะอาดรอบดวงตาอย่างละมุนละไม โดยเฉพาะสาวไหนที่รักการแต่งหน้าเป็นชีวิตจิตใจ ควรเลือกใช้โลชั่นเช็ดเครื่องสำอางที่ผลิตมาเป็นพิเศษสำหรับล้างเครื่องสำอางอย่างอายแชโดว์และมาสคาร่า

13. ก่อนเลือกซื้อครีมบำรุงรอบดวงตา ให้พิจารณาด้วยว่ามีส่วนผสมอะไรในครีมบ้าง เช่น ถ้าผสมชาเขียวซึ่งมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ก็จะช่วยฟื้นฟูผิวของคุณให้สดใสขึ้น หรือถ้ามีส่วนผสมของคาโมมายล์ ก็จะช่วยในการผ่อนคลาย และปลอบประโลมผิวจากอาการระคายเคืองได้ดี

14. สำหรับสาวที่อยากชะลอริ้วรอยก่อนวัย ควรเลือกครีมบำรุงดวงตาที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ จะช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่น ขณะที่วิตามินบีจะช่วยซ่อมแซมผิว และวิตามินช่วยปกป้องผิวจากริ้วรอย

15. ก่อนนอน ควรดูแลผิวรอบดวงตาด้วยการใช้นิ้วมือแตะครีมบำรุงรอบดวงตา แล้วถูเนื้อครีมให้เข้ากัน วิธีนี้จะช่วยให้เนื้อครีมผสมผสานทำงานได้ดีขึ้น แล้วแตะเบาๆบนผิวรอบดวงตา ปล่อยให้เนื้อครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวจะช่วยบำรุงและชะลอริ้วรอยเพื่อผิวหน้าสดใส

16. ส่วนครีมบำรุงรอบดวงตาตอนเช้า เลือกชนิดเจลที่มีส่วนผสมของวิตามินที่ช่วยลดริ้วรอยและปกป้องแสงแดด ทั้งนี้ไม่ควรใช้ครีมสำหรับใบหน้าทาบริเวณรอบดวงตา เพราะบางชนิดเนื้อครีมจะมีความเข้มข้นสูง และมีส่วนผสมของน้ำหอม และสี ซึ่งอาจทำให้ดวงตาเกิดการระคายเคืองได้

17. สาวไหนนอนดึก สามารถแก้ขอบตาดำคล้ำได้ด้วยการฝานมันฝรั่งบางๆ แล้ววางลงบนเปลือกตาทั้งสองข้าง ทิ้งไว้ 10 นาที น้ำและความชุ่มชื้นจากมันฝรั่งจะซึมซาบเข้าสู่ผิว ช่วยให้รอยคล้ำใต้ตาจางลงได้

เคล็ดลับการแต่งหน้าครั้งแรกของสาวหน้าใส

เสน่ห์ที่ขาดเสียไม่ได้ในการแต่งตัวแต่ละครั้งของผู้หญิง ก็คือ การแต่งแต้มสีสันลงบนใบหน้า หรือการแต่งหน้านั่นเอง ซึ่งในการแต่งหน้าแต่ละครั้งจะออกมาสวยงามเหมาะกับคุณหรือไม่เพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับเทคนิคการแต่งหน้าของแต่ละคน

แต่สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มจะแต่งหน้าเป็นครั้งแรก และไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มจากตรงไหนก่อน วันนี้เราก็มีเคล็ดลับการแต่งหน้าแบบง่าย ๆ มาฝากกันค่ะ


ล้างหน้าให้สะอาดก่อนทุกครั้ง

ก่อนที่เราจะลงมือแต่งหน้าทุกครั้ง สิ่งที่ต้องปฏิบัติให้เป็นนิสัย นั่นคือการล้างหน้าให้สะอาด โดยใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า เช็ดเครื่องสำอาง และสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ที่ผิวหน้าของคุณออกให้หมดก่อน จากนั้นก็ล้างหน้าตามปกติ ซับหน้าให้แห้ง แล้วเตรียมแต่งหน้ากันเลย

อย่าลืม! ทาครีมบำรุงผิวก่อนลงครีมรองพื้น

หลังล้างหน้าเรียบร้อยแล้ว ก็อย่าลืมที่จะทาครีมบำรุงผิว (ครีมที่คุณใช้อยู่ทุกวันนั่นแหละ) หลังจากนั้นจึงตามด้วย ครีมรองพื้น เพื่อปรับสีผิวบนใบหน้าของคุณให้เรียบเนียนเสมอกัน โดยแตะครีมรองพื้นตรงบริเวณที่ไม่มีริ้วรอยก่อน แล้วค่อย ๆ เกลี่ยไล่ให้ทั่ว ระวังอย่าให้มีขอบบริเวณกรอบหน้า ควรเกลี่ยรองพื้นให้หายเข้าไปในไรผมรวมถึงบริเวณริมฝีปากด้วย (อาจใช้เฉพาะผู้ที่มีสีผิวที่ไม่เสมอกัน) ส่วนในการเลือกครีมรองพื้น ก็ควรเลือกสีที่ใกล้เคียงกับสีผิวบริเวณคอของคุณมากที่สุด

ตามด้วยแป้งฝุ่น หรือแป้งแข็ง

สำหรับที่เลือกใช้แป้งฝุ่น ก็ควรเลือกแป้งฝุ่นชนิดโปร่งแสง เพราะจะไม่ทำให้สีของรองพื้นที่เลือกแล้วเปลี่ยนเป็นขาวขึ้นหรือคล้ำลง ในการทาแป้งให้ใช้พัฟหรือแปรงด้ามใหญ่สุดจุ่มแป้งฝุ่นหรือแป้งแข็งแล้วเกลี่ยบนใบหน้าให้ทั่ว

เขียนคิ้วให้ได้รูป

ก่อนที่จะเริ่มเขียนคิ้ว เราก็ต้องกันคิ้วให้ได้รูปทรงที่สวยงามเสียก่อน จากนั้นก็ลงมือเขียนคิ้วกันเลย แต่ไม่ควรเลือกดินสอเขียนคิ้วสีดำ เพราะจะทำให้คุณหน้าดุ และดูสูงวัย ลองเปลี่ยนเป็นดินสอเขียนคิ้วสีน้ำตาล จะทำให้ดูเป็นธรรมชาติขึ้นกว่าเยอะเลย

ขั้นตอนการเขียนคิ้ว ควรเริ่มเขียนห่างจากหัวคิ้วประมาณ 1 ซม. แล้วไล้ไปตามเส้นขนคิ้ว จากนั้น ใช้แปรงเกลี่ยหรืออาจแตะอายแชโดว์สีน้ำตาลเกลี่ยทับอีกครั้ง แล้วใช้แปรงเขียนคิ้วเกลี่ยย้อนมาทางหัวคิ้ว

เพิ่มสีตาด้วยอายแชโดว์

ก่อนที่จะลงมือทาอายแชโดว์ ควรแตะแป้งฝุ่นบริเวณใต้ตาเสียก่อน จากนั้นก็เลือกสีที่ต้องการทา โดยใช้สีที่อ่อน เช่น สีขาว สีครีม สีชมพูอ่อน ๆ ทาให้ทั่วเปลือกตา ถ้าใส่เสื้อผ้าสีโทนร้อนควรใช้อายแชโดว์สีส้มเกลี่ยจากแนวหางตามาทางหัวตา แล้วใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลเกลี่ยชิดแนวขอบตา เริ่มจากหางตาเข้ามากึ่งกลางตา ขอบตาล่างก็ควรทำเช่นเดียวกันเพื่อให้เกิดความสมดุลแห่งสีสัน แต่ถ้าใส่เสื้อผ้าสีโทนเย็นควรใช้อายแชโดว์สีชมพูหรือม่วง แล้วใช้อายแชโดว์สีน้ำเงินหรือสีเทาเกลี่ยชิดแนวขอบตา

ปัดความงามให้ขนตา

ในปัจจุบันก็มีมาสคาร่าออกมามากมายหลายแบบให้เราได้เลือก ทั้งชนิด เพิ่มความยาวให้กับขนตา เพิ่มความหนา และแบบธรรมดา สำหรับสาวที่มีขนตายาว งอน สวยเป็นทุน ก่อนที่จะปัดมาสคาร่าในแต่ละครั้ง สำหรับผู้ที่มีขนตาเป็นเส้นตรง ไม่โค้งงอน ก็ต้องเพิ่มความอ่อนหวานกันสักหน่อย โดยการดัดขนตา แต่ไม่ควรที่จะกดแรงเกินไป เพราะขนตาอาจจะขาดได้ หลังจากนั้นก็เลือกมาสคาร่าสีที่เข้ากับอายแชโดที่เราทาลงไป หรือจะเป็นสีน้ำตาลเข้มก็ ดูเป็นธรรมชาติดี โดยเริ่มปัดจากโคนขนตาด้านบน ไล่ขึ้นมาจนถึงปลาย แล้วก็อย่าลืมที่จะปัดขนตาล่างด้วยล่ะ

ปัดแก้มให้ดูมีเลือดฝาด

วิธีการแต่งแต้มพวงแก้มของคุณให้เป็นสาวสุขภาพดี แก้มมีเลือดฝาด ต้องเริ่มจากการใช้แปรงขนนุ่มขนาดใหญ่ ไล้สีตรงส่วนที่กินบริเวณมากที่สุดของแก้มคุณ ก็คือใต้โหนกแก้ม หรือสันแก้มตรงตำแหน่งใต้ตา จากนั้นยิ้มให้กับตัวเองในกระจก และปัดไล่ขึ้นตามแนวสันแก้มขึ้นไปหาขมับ เกลี่ยสีให้กลมกลืนกับสีผิวขึ้นไปหาแนวตีนผม เพื่อให้ละเมียดละไมเป็นธรรมชาติ แต่อย่าปัดให้ดูแดงเกินไปจนเหมือนโดนตบล่ะ

เติมสีปากเป็นอันเสร็จเรียบร้อย

สุดท้ายก็เป็นการแต่งแต้มเรียวปากของคุณ ให้ดูเป็นสาวสุขภาพดี ซึ่งลิปสติกเดี๋ยวนี้ก็มีออกมามากมายหลายแบบให้เราได้เลือก ทั้งลิปสติก ลิปกลอส ลิปปาล์ม หรือลิปทินท์ (Lip Tint) ซึ่งก่อนที่จะทาลิปในแต่ละครั้งก็ควรที่จะทาลิปปาล์มก่อน เพื่อเพิ่มความชุมชื้นให้กับริมฝีปาก จากนั้นจึงตามด้วยลิปกลอส หรือลิปสติก ส่วนลิปทินท์นั้น เป็นลิปเนื้อเหลวคล้ายๆกับลิปกลอส แต่ว่ามีความเหนียวน้อยกว่า ใช้แตะริมฝีปากพอให้เห็นสีบางๆ และยังเห็นพื้นผิวของริมฝีปากอยู่ ก็จะทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด

ถือว่าเป็นเทคนิคง่าย ๆ ลองนำไปใช้ดู แล้วครั้งต่อไป ไม่ว่าคุณจะแต่งหน้าให้เป็นสาวใส สาวหวาน สาวเปรี้ยว หรือสาวเซ็กซี่ ก็ไม่อยากอย่างที่คิดแล้ว แต่ขอเตือนไว้หน่อยว่า ในการแต่งหน้าแต่ละครั้งก็ควรแต่งให้ เข้ากับตัวคุณเอง และกาลเทศะด้วย เพราะมันจะทำให้คุณดูเป็นสาวที่ทรงเสน่ห์มาก ๆ ในทุกโอกาส แล้วครั้งหน้าเราจะมีเคล็ดลับอะไรดี ๆ มาฝากอีก ก็ต้องติดตามกันนะคะ...

ทาครีมอย่างไรให้ถูกวิธี

1. ทำความสะอาดผิวหน้าให้หมดจด แล้วเลือกปริมาณครีมที่ต้องใช้ให้พอเหมาะตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม เพราะถ้าน้อยเกินไป ก็จะไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร หรือถ้ามากเกินไป ก็จะทำให้ผิวหน้ามันเกินไป และก็เปลืองโดยใช่เหตุ ซึ่งส่วนใหญ่จะประมาณ 1 ข้อมือหรือ 1 ลูกเชอรี่


2. เริ่มแต้มครีมที่บริเวณ 5 จุด ของใบหน้า คือ หน้าผาก จมูก แก้มทั้งสองข้างและคาง


3. ใช้นิ้วกลางและนิ้วนาง ในการเกลี่ยวนบริเวณที่กว้างที่สุดก่อน เช่น โหนกแก้ม โดยเริ่มจากส่วนกลางไปยังส่วนข้างๆ โดยทางด้านซ้ายออกซ้าย และทางด้านขวาออกขวา แล้วตามด้วยแนวสันจมูก ใต้โพรงจมูก คาง และหน้าผาก โดยเว้นบริเวณรอบดวงตาไว้ เพราะอาจจะต้องใช้ครีมชนิดเฉพาะรอบดวงตาทาแทน


4. การลงน้ำหนักนิ้วควรจะเบาที่สุด เพราะผิวหน้าเป็นผิวที่บอบบาง ควรได้รับการทะนุทะนอม ถ้าลงน้ำหนักแรงเกินไป อาจจะทำให้เกิดรอยย่นในภายหลังได้


5. การทาครีมรอบดวงตา ควรใช้ปริมาณเนื้อครีมประมาณ 1 เมล็ดถั่วเขียว แล้วใช้นิ้วนางเพียงนิ้วเดียวในการทา เพราะจะน้ำหนักกดเบาที่สุด แล้วทาครีมไล่ตามแนวโครงกระดูกเบ้าตา อาจจะเริ่มที่หัวตาหรือหางตาก่อนก็ได้ แล้ววนครีมรอบๆ ดวงตาจะวนเข้าหรือวนออกก็ได้ตามถนัด แต่ต้องวนไปในทิศทางเดียวกันทั้งสองข้าง


6. การทาครีมบริเวณลำคอ ควรใช้ปริมาณเนื้อครีมเท่ากับที่ใบหน้าประมาณ 1 ข้อมือ โดยเริ่มจากบิรเวณที่กว้างที่สุดของลำคอก่อนคือ บริเวณฐานลำคอแล้วใช้ปลายนิ้วทั้งหมดค่อยๆ ลูบไล้ขึ้น ไม่ควรทาลงนะครับ เพราะจะทำให้ผิวบริเวณลำคอหย่อนยานไปตามแนวโน้มถ่วงของโลก ทำให้เกิดรอยย่นภายหลังได้


7. การทาครีมบริเวณหน้าอก อาจจะใช้ครีมที่เหลือจากลำคอ ทาลูบไล้ในช่วงอกต่อไปได้ โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ และวนให้ทั่วแผ่นอก เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว แล้วค่อยไล่ทาไปที่หน้าท้องและส่วนหลัง


8. การทาครีมบริเวณแขน จะใช้ครีมปริมาณมาก ประมาณ 2-3 ข้อมือ โดยเริ่มต้นที่ต้นแขนด้านท้องแขนก่อน แล้วทาวนขึ้นหลังแขน โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว


9. การทาครีมบริเวณขาและเท้า จะใช้ครีมปริมาณมากเช่นกัน ประมาณ 2-3 ข้อมือ โดยเริ่มต้นที่ต้นขาก่อน แล้วทาวนจากด้านต้นขาไปปลายขา โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบาๆ เพื่อการซึมซับของเนื้อครีมสู่ผิว โดยควรจะเน้นบริเวณหน้าแข้งสองข้างให้มาก เพราะบริเวณนี้จะแห้งได้ง่าย ส่วนบริเวณเท้าควรทาทั้งสองด้าน คือ หลังเท้าและฝ่าเท้า พร้อมทำการนวดไปทั่วอุ้งเท้า เพื่อผ่อนคลายและเพิ่มการไหลเวียนโลหิต

การตั้งค่าและความหมายของคำต่าง ๆ ใน BIOS ที่ควรทราบ

การตั้งค่าและความหมายของคำต่าง ๆ ใน BIOS ที่ควรทราบ

โดยปกติแล้ว เราไม่จำเป็นต้องทำการเปลี่ยนแปลงค่าต่าง ๆ ใน BIOS บ่อยนัก ยกเว้นเมื่อเราต้องการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าต่าง ๆ หรือเมื่อมีการเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่ ๆ เช่น CPU, RAM หรือ Hard Disk เป็นต้น

การเข้าสู่ BIOS Setup Mode

สำหรับวิธีการที่จะเข้าไปตั้งค่าต่าง ๆ ใน BIOS ได้นั้น จะขึ้นอยู่กับระบบของแต่ละเครื่องด้วย โดยปกติเมื่อเราทำการเปิดสวิทช์ไฟของเครื่องคอมพิวเตอร์ BIOS ก็จะเริ่มทำงานโดยทำการทดสอบอุปกรณ์ต่าง ๆ ก่อนที่จะเรียกใช้งานระบบ DOS จากแผ่น Floppy Disk หรือ Hard Disk ในช่วงนี้จะเป็นช่วงที่เราสามารถเข้าไปทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าต่าง ๆ ใน BIOS ได้โดยกด Key ต่าง ๆ เช่น DEL, ESC CTRL-ESC, CTRL-ALT-ESC ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละเครื่องจะตั้งไว้อย่างไร ส่วนใหญ่ จะมีข้อความบอกเช่น "Press DEL Key to Enter BIOS Setup" เป็นต้น


ปุ่ม Key ต่าง ๆ ที่ใช้สำหรับการ Setup BIOS ส่วนใหญ่จะเป็นแบบเดียวกัน โดยจะมีรูปแบบทั่วไปดังนี้
Up, Down, Left, Right ใช้สำหรับเลื่อนเมนูตามต้องการ
Page Up, Page Down ใช้สำหรับเพิ่ม ลบ หรือเปลี่ยนแปลงค่าตามต้องการ
ESC Key ใช้สำหรับย้อนกลับไปเมนูแรกก่อนหน้านั้น
Enter Key ใช้สำหรับเลือกที่เมนูตามต้องการ
F1, F2 ถึง F10 ใช้สำหรับการทำรายการตามที่ระบุในเมนู BIOS Setup


ตัวอย่างการตั้งค่าต่าง ๆ ใน BIOS Setup

สำหรับตัวอย่างต่อไปนี้ผมนำมาให้ดูแบบรวมทั่ว ๆ ไปของ BIOS เท่าที่หาข้อมูลได้นะครับ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะคล้าย ๆ กัน เริ่มจากหลังจากที่กด DEL หรือ Key อื่น ๆ ขณะเปิดเครื่องเพื่อเข้าสู่ BIOS Setup Mode โดยปกติแล้ว ถ้าหากเป็นการตั้งค่าครั้งแรก หลังจากที่ทำการ Reset CMOS แล้ว ก็เลือกที่เมนู Load BIOS Default Setup หรือ Load BIOS Optimal-performance เพื่อเลือกการตั้งค่าแบบกลาง ๆ ของอุปกรณ์ทั่วไปก่อน จากนั้นจึงมาทำการเลือกแก้ไขเปลี่ยนแปลงแต่ละค่า ตามเมนูต่อไปนี้


Standard CMOS Setup

Date และ Time
ใส่ วันที่ และ เวลา ปัจจุบัน
Hard Disk
กำหนดขนาดของ HDD (Hard Disk) ว่ามีขนาดเท่าไร โดยเลือกตั้งค่าเองแบบ User, แบบอัตโนมัติ Auto หรือไม่ได้ติดตั้งก็เลือกที่ None
Primary / Master
อุปกรณ์ที่ต่อกับ IDE แรก แบบ Master
Primary / Slave
อุปกรณ์ที่ต่อกับ IDE แรก แบบ Slave
Secondary / Master
อุปกรณ์ที่ต่อกับ IDE ที่สอง แบบ Master
Secondary / Slave
อุปกรณ์ที่ต่อกับ IDE ที่สอง แบบ Slave
- Cyls
จำนวน cylinders ใส่ตามคู่มือ HDD
- Heads
จำนวน heads ใส่ตามคู่มือ HDD
- Precomp
write precompensation cylinder ไม่ต้องกำหนดหรือใส่ตามคู่มือ HDD
- Landz
landing zone ไม่ต้องกำหนด หรือใส่ตามคู่มือ HDD
- Sectors
จำนวน sectors ใส่ตามคู่มือ HDD
Mode
ถ้าหากทราบค่าที่แน่นอนให้ใส่เป็น User แต่ถ้าไม่แน่ใจ ให้ตั้ง Auto ไว้
- Auto BIOS
จะทำการตรวจสอบและตั้ง Mode ของ HDD อัตโนมัติ
- Normal
สำหรับ HDD ที่มี clys,heads,sectors ไม่เกิน 1024,16,63
- Large
สำหรับ HDD ที่มี cyls มากกว่า 1024 แต่ไม่ support LBA Mode
- LBA
Logical Block Addressing สำหรับ HDD ใหม่ ๆ จะมีการส่งข้อมูลที่เร็วกว่า
Drive A: B:
ชนิดของ Diskette Drives ที่ติดตั้งใช้งาน 360K, 720K, 1.2M หรือ 1.44M
Video
ชนิดของจอแสดงภาพ (ปกติจะเป็น EGA/VGA)
Halt On
กำหนดการ Stop หากพบ Error ขณะที่ POST (Power-On Seft Test)
- All errors
การ POST จะหยุดและแสดง prompts ให้เลือกการทำงานต่อไปทุก Error
- All, But Key
การ POST จะไม่หยุดกรณีของการเกิด Keyboard Error
- All, But Disk
การ POST จะไม่หยุดกรณีของการเกิด Disk Drive Error
- All, But Disk/Key
การ POST จะไม่หยุดกรณีของการเกิด Keyboard Error หรือ Disk Error
Memory
จะแสดงขนาดของ Memory ที่ใส่อยู่ ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
- Base Memory
โดยปกติจะเป็น 640K สำหรับ DOS
- Extended
คือ Memory ในส่วนที่สูงกว่า 1M ขึ้นไป
- Other Memory
หมายถึงส่วนของระหว่าง 640K ถึง 1M

BIOS Features Setup

Virus Warning
การเตือนเมื่อมีการเขียนข้อมูลทับ Boot Record ของ HDD [Enabled]
CPU Int / Ext cache
การใช้งาน CPU Internal / External Cache [Enabled]
CPU L2 Cache ECC Check
การใช้ External Cache แบบ ECC SRAMs
Quick Power On Seft Test
การทำ POST แบบเร็ว [Enabled]
Boot Sequence
เลือกลำดับของการบูทเช่นจาก C:, A: หรือ IDE-0, IDE-1 [C: A:]
Swap Floppy Disk
กำหนดการสลับตำแหน่ง Drive A: เป็น Drive B: [Disabled]
Boot Up Floppy Seek
การตรวจสอบชนิดของ Disk Drive ว่าเป็นแบบใด [Disabled]
Boot Up NumLock Status
กำหนดการทำงานของ Key NumLock หลังจากเปิดเครื่อง [Disabled]
Boot Up System Speed
กำหนดความเร็ว CPU หลังจากเปิดเครื่อง [High]
Gate A20 Option
การเข้าถึง Address memory ส่วนที่สูงกว่า 1M [Fast]
Typematic Rate Setting
กำหนดความเร็วของการกด Key [Enabled]
Typematic Rate (Chars/Sec)
กำหนดความเร็วของการกด Key [6]
Typematic Delay (Msec)
กำหนดค่า delay ของการกด Key [250]
Security Option
กำหนดการตั้งรหัสผ่านของการ Setup BIOS หรือ System [Setup]
PS/2 Mouse Control
กำหนดการใช้งาน PS/2 Mouse [Disabled]
PCI/VGA Palette Snoop
แก้ปัญหาการเพี้ยนของสีเมื่อใช้การ์ดวีดีโออื่น ๆ ร่วมด้วย [Disabled]
Assign IRQ for VGA
กำหนดการใช้ IRQ ให้กับการ์ดจอ [Enabled]
OS Select for DRAM > 64M
การกำหนดหน่วยความจำสำหรับ OS2 [Non-OS]
HDD S.M.A.R.T capability
Self-Monitering Analysis and Reporting Technology ควรเลือก [Enabled]
Video BIOS Shadow
กำหนดให้ทำ Shadow กับ ROM จากการ์ดแสดงผล C0000-C4000 ควรเลือก [Enabled
Adapter ROM
กำหนดให้ทำ Shadow กับ ROM จากการ์ดที่เสียบเพิ่มเติม
- C8000
ใช้กับการ์ดแสดงผลชนิด MDA (จอเขียว)
- CC000
ใช้กับการ์ด controller บางประเภท [Disabled]
- D0000
ใช้กับการ์ด LAN [ถ้าไม่ใช้ตั้ง Disabled]
- D4000
ใช้กับ controller สำหรับ Disk Drive ชนิดพิเศษ [Disabled]
- D8000
ตั้ง [Disable]
- DC000
ตั้ง [Disable]
- E0000
ตั้ง [Disable]
- E4000
ตั้ง [Disable]
- E8000
ตั้ง [Disable]
- EC000
ใช้กับการ์ด controller ชนิด SCSI [หากไม่ได้ใช้ตั้ง Disable]
System ROM
การทำ Shadow กับ ROM ของ BIOS ที่ F000 [Enabled]


Chipset Features Setup

Auto Configuration
คือให้ BIOS จัดการค่าต่างๆโดยอัตโนมัติซึ่งจะเป็นค่ากลาง ๆ
Hidden Refresh
การเติมประจุไฟของ DRAM [Enabled]
Slow Refresh
ให้ DRAM ลดความถี่ในการเติมประจุไฟลง 2 - 4 เท่า [เลือก Enabled ถ้าไม่มีปัญหาในการใช้งาน]
Concurrent Refresh
การอ่าน-เขียนข้อมูล ได้พร้อมๆกับการเติมประจุไฟใน DRAM [เลือก Enabled ถ้าไม่มีปัญหาในการใช้งาน]
Burst Refresh
การเติมประจุไฟลง DRAM ได้หลายๆ รอบในการทำงานครั้งเดียว [เลือก Enabled ถ้าไม่มีปัญหาในการใช้งาน]
DRAM Brust at 4 Refresh
จำนวนการ Burst Refresh เป็น 4 รอบในการทำงาน 1ครั้ง [Enabled]
Staggered Refresh
การเติมประจุล่วงหน้าใน DRAM ใน Bank ถัดไปด้วย [Enabled]
Refresh RAS Active Time
ให้ทดลองกำหนดค่าน้อยที่สุดเท่าที่เครื่องจะสามารถทำงานได้
AT Cycle Wait State
เวลาที่รอให้การ์ด ISA พร้อม ให้ตั้งค่าที่น้อยสุดเท่าที่เครื่องทำงานได้
16-Bit Memory, I/O Wait State
เวลาที่ซีพียูต้องรอระหว่างรอบการทำงาน ตั้งน้อยที่สุดที่ทำงานได้
8-Bit Memory, I/O Wait State
เวลาที่ซีพียูต้องรอระหว่างรอบการทำงาน ให้ตั้งน้อยสุดที่ทำงานได้
DMA Clock Source
กำหนดความเร็วของอุปกรณ์ DMA โดยมีค่าปกติคือ 5 MHz
Memory Remapping
หากเปิดการทำงานนี้ไว้จะทำ Shadows กับ BIOS ใดๆ ไม่ได้ [Disable]
Cache Read Hit Burst หรือ SRAM Read Wait State
ระยะพักรอเมื่ออ่านข้อมูลลงใน L1 Cache ให้ตั้งน้อยที่สุดเท่าที่ทำงานได้
Cache Write Hit Burst หรือ SRAM Write Wait State
ระยะพักรอเมื่ออ่านข้อมูลลงใน L1 Cache ให้ตั้งน้อยที่สุดเท่าที่ทำงานได้
Fast Cache Read / Write
ให้แคชทำงานโหมดความเร็วสูง จะมีผลเมื่อแคชมีขนาด 64 KB หรือ 256 KB
Tag Ram Includes Ditry
ให้แคชทำงานในโหมดเขียนทับโดยไม่ต้องย้าย/ลบข้อมูลเดิมออกก่อน หากมี Ram น้อยกว่า 256 MB ควรใช้ Dirty Bit
Non-Cacheable Block-1 Size
กำหนดขนาดหน่วยความจำที่ห้ามทำแคช [OK หรือ Disabled]
RAS to CAS Delay Time
ค่าหน่วงเวลาก่อนที่จะสลับการทำงาน RAS-CAS ตั้งค่าน้อยที่สุด เท่าที่ทำงานได้
CAS Before RAS
การสลับลำดับการทำงานระหว่าง RAS และ CAS
CAS Width in Read Cycle
กำหนดค่าหน่วงเวลาก่อนที่ซีพียูจะเริ่มอ่านข้อมูลใน DRAM ตั้งน้อยที่สุดที่ทำงานได้
Interleave Mode
ให้ซีพียูอ่าน - เขียนข้อมูลจาก DRAM ในโหมด Interleave
Fast Page Mode DRAM
ให้หน่วยความจำทำงานแบบ FPM โดยไม่ต้องอาศัย RAS และ CAS ซึ่งจะเร็วกว่า
SDRAM CAS Latency Time หรือ SDRAM Cycle Length
ระยะรอบการทำงานของ CAS latency ใน SDRAM ตั้งค่าน้อยที่สุด หรือใช้ค่า 2 กับ RAM ชนิด PC100 และใช้ค่า 3 กับ RAM ชนิด ความเร็วแบบ PC66/83
Read Around Write
กำหนดให้ซีพียูอ่าน - เขียนข้อมูลจากหน่วยความจำได้ในคราวเดียวกัน [Enabled]
DRAM Data Integrity Mode
เลือก Non-ECC หรือ ECC ตามขนิดของ SDRAM
System BIOS Cacheable
การทำแคชของ System BIOS ROM #F0000-FFFFF [Enabled]
Video BIOS Cacheable
การทำแคชของ Video BIOS ROM [Enabled]
Video RAM Cacheable
การทำแคชของ Video RAM #A0000-AFFFF [Enabled ถ้าไม่มีปัญหา]
Memory Hole at 15M-16M
การจองพื้นที่สำหรับ ISA Adapter ROM [Enabled]
Passive Release
กำหนด CPU to PCI bus accesses ช่วง passive release [Enabled]
Delayed Transaction
เลือก Enable สำหรับ PCI version 2.1
AGP Aperture Size (MB)
กำหนดขนาดของ AGP Aperture กำหนดเป็นครึ่งหนึ่งของ RAM ทั้งหมด


Power Management

Max Saving
กำหนดการประหยัดพลังงานแบบ สูงสุด
User Define
กำหนดการประหยัดพลังงานแบบ ตั้งค่าเอง
Min Saving
กำหนดการประหยัดพลังงานแบบ ต่ำสุด
PM Control by APM
กำหนดให้ควบคุมการประหยัดพลังงานผ่านทางซอฟท์แวร์ APM
Video Off Method
กำหนดวิธีการปิดจอภาพเมื่อเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงาน
- V/H SYNC + Blank
จะปิดการทำงาน V/H SYNC และดับจอภาพด้วย Blank Screen
- DPMS
สำหรับการ์ดแสดงผลและจอภาพที่สนับสนุนโหมด DPMS
- Blank Screen
จะทำการแสดงหน้าจอว่าง ๆ เมื่อประหยัดพลังงาน สำหรับจอรุ่นเก่า ๆ
Video Off After
ให้ปิดจอภาพเมื่อเข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานแบบ Stanby หรือ Suspend
Standby Mode
กำหนดระยะเวลาเมื่อพบว่าไม่มีการใช้งาน จะหยุดทำงานของอุปกรณ์บางส่วน
Supend Mode
จะตัดการทำงานบางส่วนคล้าย Standby Mode แต่หยุดอุปกรณ์ที่มากกว่า
HDD Power Down
กำหนดระยะเวลาก่อนที่ BIOS จะหยุดการทำงานของ HDD
Resume by Ring
เมื่อ Enabled สามารถสั่งให้ทำงานจาก Soft Off Mode ได้
Resume by Alarm
เมื่อ Enabled สามารถตั้งเวลาทำงานจาก Suspend Mode ได้
Wake Up On LAN
เมื่อ Enabled สามารถสั่งให้ทำงานจาก Soft Off Mode ได้

Integrated Peripherals

IDE HDD BLOCKS MODE
ให้ HDD อ่าน-เขียนข้อมูลได้ครั้งละหลาย Sector พร้อมกัน [Enabled]
IDE PIO Mode...
กำหนดการทำงานแบบ Programe Input/Output [ตั้งสูงสุดหรือ Auto]
IDE UDMA...
กำหนดการทำงานแบบ DMA หรือ UDMA [Enabled หรือ Auto]
On-Chip PCI IDE
กำหนดการใช้ช่องเสียบ HDD IDE ที่อยู่บนเมนบอร์ด [Enabled]
USB Keyboard Support
กำหนดให้ใช้ Keyboard แบบ USB [Enabled]
Onboard FDC Controller
กำหนดให้ใช้ช่องเสียบ Disk Drive ที่อยู่บนเมนบอร์ด [Enabled]
Onboard Serial Port 1
กำหนดค่าแอดเดรสและ IRQ ให้ COM1 ค่าปกติคือ 3F8/IRQ4
Onboard Serial Port 2
กำหนดค่าแอดเดรสและ IRQ ให้ COM2 ค่าปกติคือ 2F8/IRQ3
Parallel Port Mode
กำหนดโหมดการทำงานของพอร์ตขนานได้ใน 3 แบบ [EPP&ECP]
- SPP (Standard Parallel Port)
คือโหมดมาตรฐานเหมาะแก่เครื่องพิมพ์รุ่นเก่าๆ
- EPP (Enhanced Parallel Port)
คือโหมด 2 ทิศทางเหมาะแก่เครื่องพิมพ์รุ่นใหม่
- ECP (Extended Cap. Port)
คือโหมดความเร็วสูง เมื่อต่อพ่วงกับ Scanner, Laplink ฯลฯ
ECP MODE USE DMA
คือกำหนด DMA สำหรับ Port ขนานแบบ ECP ซึ่งค่าปกติคือ 3

การตั้งค่าอื่น ๆ

Load BIOS Default Setup
เมื่อกดเลือกที่นี่ BIOS จะทำการตั้งค่าต่าง ๆ ให้เป็นแบบกลาง ๆ สำหรับอุปกรณ์ทั่ว ๆ ไป หรือเป็นการตั้งค่าแบบ Factory Setup ก็ได้

Load BIOS Optimize Setup
เมื่อกดเลือกที่นี่ BIOS จะทำการตั้งค่าต่าง ๆ ของอุปกรณ์ ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

Password Setting
ใช้สำหรับการตั้ง Password เมื่อต้องการจะเข้าไปเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าต่าง ๆ ใน BIOS หรือเมื่อต้องการจะเปิดเครื่อง โดยปกติเมื่อใส่ Password ระบบจะให้ใส่ Confirm ซ้ำ 2 รอบเพื่อป้องกันการใส่ผิดพลาด (ไม่ใส่อะไรเลย คือการยกเลิก password)

HDD Low Level Format
เป็นเมนูสำหรับทำ Low Level Format ของ Hard Disk ซึ่งใช้สำหรับทำการ Format Hard Disk แบบระดับต่ำสุด ซึ่งถ้าหากไม่มีปัญหาอะไรกับ Hard Disk ก็ไม่จำเป็นต้องทำ

Exit with Save Setting หรือ Exit without Save Setting
เมื่อทำการเปลี่ยนแปลงข้อมูลการตั้งค่าต่าง ๆ ของ BIOS แล้วต้องทำการ Save เก็บไว้ด้วยนะครับ ส่วนใหญ่เมื่อทำการ Save แล้วจะบูทเครื่องใหม่ ค่าต่าง ๆ ที่ตั้งไว้จึงจะใช้งานได้

CPU Setup
นอกจากนี้ ในเมนบอร์ดรุ่นใหม่ ๆ ที่เป็นแบบ Jumper Free (ไม่ใช้ Jumper แต่จะใช้เมนูใน BIOS สำหรับตั้งค่าต่าง ๆ ) จะสามารถตั้งค่าของความเร็ว CPU, ค่า multiple หรือ FSB, ค่าไฟ Vcore และอื่น ๆ อีกแล้วแต่รุ่นของเมนบอร์ดนั้น ๆ

การสร้าง ลบ หรือจัดแบ่ง พาร์ติชันของฮาร์ดดิสก์ โดยใช้ fdisk


การจัดพาร์ติชันของฮาร์ดดิสก์ คือขั้นตอนของการ จัดรูปแบบการใช้งานของ ฮาร์ดดิสก์ ก่อนขั้นตอนการ ฟอร์แมต โดยที่เราสามารถ ทำการแบ่ง ฮาร์ดดิสก์ ออกเป็นขนาดต่าง ๆ เพื่อกำหนดให้ใช้งานได้ในแต่ละ Drive เพื่อความเป็นระเบียบของข้อมูล เช่น ฮาร์ดดิสก์ ขนาดเต็ม 8 GB อาจจะทำการแบ่งออกเป็น Drive C: ขนาด 3 GB เพื่อใช้สำหรับลง Windows และซอฟต์แวร์ต่าง ๆ และทำการแบ่งเป็น Drive D: อีกส่วนหนึ่งโดยให้มีขนาดเป็น 5 GB เพื่อใช้สำหรับเก็บข้อมูลอื่น ๆ เป็นต้น

ชนิดของพาร์ติชั่น จะแบ่งออกตามชนิดของ FAT ต่าง ๆ ได้ดังนี้

- FAT16 เป็นการจัดพาร์ติชันสำหรับ DOS, Windows 3.1 และ Windows 95 รุ่นแรก ๆ จะรองรับขนาดของพาร์ติชันได้สูงสุดที่ 2 GB ต่อ 1 พาร์ติชั่นเท่านั้น

- FAT32 เป็นการจัดพาร์ติชันสำหรับ Windows 97 OSR2 และ Windows 98 สามารถรองรับขนาดของพาร์ติชันได้จาก 512 KB ไปจนถึง 64 GB ต่อ 1 พาร์ติชัน
- NTFS เป็นการจัดพาร์ติชันสำหรับ Windows NT

ดังนั้น หากจะทำการจัดแบ่งพาร์ติชัน ให้ใช้งานฮาร์ดดิสก์ที่ขนาดมากกว่า 2 GB ต่อ 1 พาร์ติชันก็ต้องทำการสร้างพาร์ติชันแบบ FAT32 ซึ่งจะสามารถใช้งานได้ในระบบ Windows 95 OSR2 หรือ Windows 98 ขึ้นไปเท่านั้น ซอฟต์แวร์ ที่ใช้สำหรับการจัดแบ่ง พาร์ติชันของ ฮาร์ดดิสก์ แบบง่าย ๆ ก็คือโปรแกรม FDISK ที่มีมาให้กับ Windows 98 นั่นเอง โดยที่ต้องอย่าลืมว่า การใช้ FDISK จาก Windows 98 จะสามารถสร้างพาร์ติชันแบบ FAT32 ได้ แต่ถ้าหากเป็น FDISK ที่มากับ Windows 95 หรือของ DOS จะสามารถทำได้เฉพาะระบบ FAT16 เท่านั้นไม่สามารถทำเป็น FAT32 ได้

โดยปกติแล้ว ขั้นตอนการจัดแบ่งพาร์ติชันของฮาร์ดดิสก์ ไม่จำเป็นต้องทำบ่อยนัก จะทำในกรณีที่ต้องการ เปลี่ยนแปลงรูปแบบ ชนิดของ FAT หรือกำหนดขนาดของพาร์ติชันใหม่เท่านั้น ซึ่งขั้นตอนการจัดพาร์ติชันใหม่นี้ ข้อมูลทุกอย่างที่เก็บอยู่ใน ฮาร์ดดิสก์ จะหายไปทั้งหมดด้วย ดังนั้นต้องระวังหรือทำการเก็บสำรองข้อมูลที่สำคัญเก็บไว้ก่อน ในที่นี้จะยกตัวอย่างของการจัดการ และการแบ่งพาร์ติชันของฮาร์ดดิสก์ โดยการใช้คำสั่ง FDISK ที่มีมากับ Windows เพื่อเป็นการเตรียมฮาร์ดดิสก์ก่อนขั้นตอนการลง Windows ต่อไป

หลักของการแบ่งพาร์ติชั่นด้วย FDISK

ก่อนอื่น มาทำความเข้าใจเรื่องของคำที่จะใช้ และหลักการแบ่งพาร์ติชั่นด้วย FDISK กันก่อนครับ โดยที่มีหลักการแบ่ง เรียงตามลำดับ เพื่อให้เกิดความเข้าใจแบบง่าย ๆ และรวดเร็วดังนี้

1. ขั้นแรก ต้องสร้างพาร์ติชั่นที่เป็น Primary DOS Partition ก่อน โดยถ้าหากจะแบ่งเป็นไดร์ฟเดียว ก็เลือกตรงนี้ให้มีขนาดเป็น 100% ได้เลย แต่ถ้าหากต้องการแบ่งให้เป็นหลาย ๆ ไดร์ฟ ก็กำหนดขนาดไปตามต้องการ
2. ต่อไป ต้องสร้าง Extended DOS Partition โดยกำหนดขนาดให้เท่ากับพื้นที่ ที่เหลือจากข้อ 1. ครับ ตรงนี้จะยังไม่ใช่ไดร์ฟหรือพาร์ติชั่นตัวที่สอง แต่จะเป็นการกำหนดพื้นที่สำหรับ พาร์ติชั่นตัวที่สองหรือตัวถัดไปเท่านั้น
3. ทำการสร้าง Logical DOS Drive(s) ขึ้นมาอีกครั้ง (ซึ่งจะใช้พื้นที่ของ Extend DOS Partition ที่ได้สร้างไว้แล้ว) โดยที่ตรงนี้ จะกำหนดขนาดของพาร์ติชั่นที่ต้องการสำหรับไดร์ฟถัดไป เช่นอาจจะกำหนด ให้ใช้พื้นที่ ที่เหลืออยู่ทั้งหมด เป็นอีกไดร์ฟหนึ่ง ก็เลือกขนาดเป็น 100% แต่ถ้าหากต้องการแบ่งย่อยขนาดลงไป ก็ต้องสร้าง Logical DOS Drive(s) ให้มีขนาดย่อย ๆ ตามต้องการ
ยกตัวอย่างละกัน สมมติว่าฮาร์ดดิสก์ขนาด 20G. ต้องการแบ่งเป็น 3 พาร์ติชั่น โดยมีขนาดเป็น 5+5+10 จากข้อ 1. ก็ต้องสร้าง Primary DOS Partition ขึ้นมาขนาด 5G. ก่อน แล้วค่อยสร้าง Extended DOS Partition ขนาด 15G. ที่เหลือ จากนั้นค่อยทำการสร้างเป็น Logical DOS Drive(s) โดยกำหนดให้มีขนาด 5G. และ 10G. ตามลำดับครับ
คำสั่ง FDISK จะสามารถหาได้จากแผ่น Windows 98 Start Up Disk ถ้าหากยังไม่มี ต้องทำการสร้างแผ่น Windows 98 Startup Disk ขึ้นมาก่อน หลังจากนั้น จึงทำการบูทเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยการบูทเครื่องจากแผ่น Windows 98 Startup Disk จากนั้น พิมพ์คำสั่ง fdisk แล้วกด Enter


ถ้าฮาร์ดดิสก์มีขนาดใหญ่มากกว่า 512MB จะมีคำถามว่าต้องการสร้างพาร์ติชันขนาดใหญ่หรือไม่ หรือเป็นการถามว่า ต้องการใช้งานแบบ FAT32 หรือไม่นั่นเอง หากตอบ [N] ก็จะเป็นการกำหนดให้ใช้งานแบบ FAT16 หรือเหมือนกับการใช้ FDISK ของ DOS หรือ Windows 95 รุ่นเก่าไป แต่ถ้าต้องการแบ่งพาร์ติชันแบบ FAT32 ก็ให้กด [Y]




เมนูหลักสำหรับการใช้งานแบบต่าง ๆ โดยปกติแล้วจะมีแค่ 4 รายการ แต่ถ้าหากมีการต่อฮาร์ดดิสก์มากกว่า 1 ตัว จะมีเมนูที่ 5 คือ Change current fixed disk drive สำหรับเลือกว่าจะทำงานกับ ฮาร์ดดิสก์ ตัวไหนให้เลือกด้วย การแสดงข้อมูลของ พาร์ติชัน ต่าง ๆ ทำโดยเลือกที่เมนู 4. Display partition information



เมนูของการแสดงพาร์ติชัน (เลือกจากเมนู 4. จากเมนูหลัก) จะแสดงข้อมูลต่าง ๆ ของพาร์ติชัน ในฮาร์ดดิสก์ จะเห็นรายละเอียดและการกำหนดรูปแบบการใช้งานต่าง ๆ รวมถึงการจัดแบ่งขนาดต่าง ๆ ด้วย ในกรณีที่เป็น ฮาร์ดดิสก์ ที่ยังไม่ได้ทำการจัดพาร์ติชัน ก็จะไม่มีข้อมูลแสดงให้เห็น เราสามารถกดปุ่ม ESC เพื่อกลับไปเมนูหลัก




เมนูของการลบพาร์ติชัน (เลือกเมนู 2. จากเมนูหลัก) จะมีเมนูให้เลือกรายการลบพาร์ติชันต่าง ๆ ซึ่งขออธิบายความหมายของแต่ละพาร์ติชัน ดังนี้

- Primary DOS Partition เป็นพาร์ติชันหลักของฮาร์ดดิสก์
- Extended DOS Partition เป็นพาร์ติชันถัดไปของฮาร์ดดิวก์
- Logical DOS Drive(s) จะเป็นการกำหนดขนาดต่าง ๆ ที่อยู่ใน Extended DOS Partition อีกที ซึ่งสามารถกำหนดการสร้างได้หลาย ๆ Drive ตามต้องการ
- Non-DOS Partition เป็นพาร์ติขันในระบบอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ระบบของ DOS


ในการลบพาร์ติชัน จะต้องทำการลบโดยเรียงลำดับข้อมูลด้วย เช่นต้องลบ Logical DOS Drive ออกให้หมดก่อนจึงจะลบ Extended DOS Partition ได้ และหลังจากนั้น จึงทำการลบ Primary DOS Partition ตามลำดับต่อไป




หากทำการลบพาร์ติชันต่าง ๆ ข้อมูลทุกอย่างที่เก็บอยู่ในพาร์ติชันนั้น ๆ จะหายไปหมด ดังนั้นเมื่อจะทำการลบพาร์ติชัน จะมีการถามยืนยันการลบ โดยให้ใส่ Volume Label ของฮาร์ดดิสก์นั้นก่อนด้วย เพื่อเป็นการป้องกันการลบข้อมูล โดยไม่ได้ตั้งใจหรือลบผิดพาร์ติชัน ดังนั้น หากจะทำขั้นตอนนี้ ต้องใช้ความระมัดระวังและอ่านรายละเอียดต่าง ๆ ให้รอบคอบก่อน


เมนูของการสร้างพาร์ติชัน (เลือกเมนู 1. จากเมนูหลัก) จะเป็นการสร้างพาร์ติชันแบบต่าง ๆ ซึ่งจะคล้าย ๆ กับเมนูของการลบพาร์ติชัน คือจะมีการสร้าง Primary DOS Partion, Extended DOS Partition และการสร้าง Logical DOS Drive ใน Extended DOS Partition ปกติแล้วก็จะสร้างเรียงตามลำดับตามต้องการ


กรณีที่เลือกสร้าง Primary DOS Partition เป็นอักแรก จะมีเมนูถามว่า ต้องการใช้พื้นที่ทั้งหมดในฮาร์ดดิสก์สำหรับทำเป็น Primary DOS Partition หรือไม่ หากต้องการใช้พื้นที่ทั้งหมดสร้างเป็น Drive เดียวก็เลือก [Y] แต่ถ้าหากต้องการระบุขนาดต่าง ๆ ของพาร์ติชันด้วยตัวเอง ก็เลือกที่ [N] เพื่อกำหนดขนาดเอง


จากรูป ถ้าหากเลือกที่จะกำหนดขนาดของ Primary DOS Partition เองโดยเลือก [N] จากขั้นตอนที่แล้ว จะมีเมนูให้ใส่ขนาดของ Primary DOS Partition ตามต้องการ โดยอาจจะใส่เป็นตัวเลขจำนวนของ MB หรือใส่เป็นตัวเลขเปอร์เซ็นต์ก็ได้ จากตัวอย่างสมมติว่ากำหนดขนาดเป็น 70% ของจำนวนฮาร์ดดิสก์ทั้งหมด ก็ใส่ 70% แล้วกด Enter


หลังจากนั้น ก็ทำการสร้าง Extended DOS Partiton จากส่วนของพื้นที่ฮาร์ดดิสก์ที่เหลือ โดยการเลือกเมนูที่ 2. Create Extended DOS Partition ทำการกำหนดขนาดของพื้นที่ตามที่ต้องการ จากตัวอย่างคือจะใช้พื้นที่ 30% ที่เหลือทั้งหมด โดยการกำหนดขนาดนี้อาจจะใส่เป็ยตัวเลขจำนวน หรือใส่เป็นตัวเลขเปอร์เซ็นต์ ก็ได้แล้วกด Enter



หลังจากที่สร้าง Extended DOS Partition แล้วจะมีการแสดงรายละเอียดของการแบ่งพาร์ติชันต่าง ๆ ให้ดูตามรูป




ในส่วนของ Logical Drive จะเป็นการสร้างขึ้นภายในของ Extended DOS Partition อีกที ซึ่งการกำหนดขนาดของพื้นที่ฮาร์ดดิสก์ ก็กำหนดขนาดตามต้องการ หรือถ้าต้องการแบ่งในส่วนของ Extended DOS Partition ออกเป็นหลาย ๆ Drive ก็สามารถทำการกำหนดแบ่งได้จากส่วนของ Logical Drive นี้


หลังจากที่ทำการสร้างและจัดแบ่งพาร์ติชันต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว เมื่อกลับมาที่เมนูหลัก จะมีคำเตือนว่าไม่มีการกำหนดพาร์ติชันไหน active อยู่เลย ต้องทำการกำหนดพาร์ติชันที่สร้างขึ้นมาให้เป็น active partition ด้วยเพื่อให้สามารถใช้บูทเครื่องได้ การกำหนดทำโดยการเลือกที่เมนู 2. Set active partition


ใส่หมายเลขของ Partition ที่ต้องการให้เป็น active partition และกด Enter
เมื่อเลือกที่เมนู 4. เพื่อดูรายละเอียดต่าง ๆ ก็จะเห็นลักษณะการจัดและแบ่งพาร์ติชันในฮาร์ดดิสก์ รวมถึงพาร์ติชันที่ตั้งให้เป็น active partition ด้วย


หลังจากที่ทำการกำหนดและแบ่ง Partition ต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อออกจากโปรแกรม FDISK ก็จะมีข้อความเตือนว่า ให้ทำการ Restart เครื่องคอมพิวเตอร์ใหม่ก่อน การจัดพาร์ติชันต่าง ๆ จึงจะมีผลและทำการ format ฮาร์ดดิสก์ต่อไป

การจัดแบ่งพาร์ติชันของ ฮาร์ดดิสก์นี้ โดยปกติแล้ว จะไม่จำเป็นต้องทำทุกครั้งที่ลง Windows ใหม่ ซึ่งจะทำการจัดพาร์ติชัน ก็ต่อเมื่อต้องการจัดแบ่งขนาดของ ฮาร์ดดิสก์ใหม่ หรือต้องการลบข้อมูล ให้สะอาดจริง ๆ เนื่องจากเกิดการติดไวรัส เครื่องคอมพิวเตอร์ เท่านั้น และอย่าลืมว่า การทำ FDISK นี้ข้อมูลทุกอย่างที่มีอยู่ใน ฮาร์ดดิสก์ จะหายไปทั้งหมดด้วย จึงควรจะต้องใช้ความระมัดระวัง ในการทำทุก ๆ ขั้นตอน



การสร้างแผ่น Startup Disk สำหรับใช้บูทเครื่องคอมพิวเตอร์ จากแผ่นดิสก์



แผ่น Windows 98 Startup Disk ก็คือแผ่นดิสก์ ใช้สำหรับบูทเครื่อง โดยที่จะต้องใช้เมื่อเกิดปัญหาต่าง ๆ ขึ้นกับระบบ Windows และไม่สามารถบูทเครื่องเข้า Windows แบบปกติได้ โดยที่ภายในแผ่นดิสก์นี้ จะประกอบไปด้วยระบบ DOS (ของ Windows) และไฟล์ Utilities ต่าง ๆ ที่จำเป็นในการจัดการ และการฟอร์แม็ต ฮาร์ดดิสก์ รวมทั้งโปรแกรมหรือคำสั่งของ DOS ต่าง ๆ ในส่วนที่จำเป็นต่อการใช้งาน

โดยทั่วไป เรามักจะใช้แผ่น Startup Disk สำหรับบูทเครื่อง เพื่อทำการจัด พาร์ติชัน หรือการ ฟอร์แม็ต ฮาร์ดดิสก์ ซึ่งโดยปกติ การใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ เราควรที่จะมีแผ่นดิสก์นี้ไว้สักแผ่นนะครับ เผื่อไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ส่วนวิธีการใช้งานแผ่นดิสก์นี้ หากเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่ใช้มีการตั้ง Boot Sequence ให้เลือกบูทจาก Drive A: ก่อนแล้วค่อยไปหา Harddisk ถ้าเราใส่แผ่น Startup Disk ในช่อง Floppy Disk Drive เครื่องก็จะเลือกบูทจากแผ่นดิสก์นี้ แต่ถ้าหากตั้งให้ เครื่องบูทระบบจาก ฮาร์ดดิสก์ก่อน เราต้องไปเปลี่ยนใน bios ให้เป็น Drive A: แทน จึงจะใช้ได้นะครับ ดูเรื่องการตั้ง bios จากหัวข้อ การตั้งค่าต่าง ๆ ใน BIOS เพิ่มเติมนะครับ


การสร้างแผ่น Windows 98 Startup Disk สามารถทำโดยใช้เครื่องมือที่อยู่ในระบบ Windows 98 ได้ซึ่งแผ่น Startup Disk ที่ได้นี้ จะสามารถนำมาใช้สำหรับการบูทเครื่องคอมพิวเตอร์ และภายในแผ่น จะมีชุดคำสั่งต่าง ๆ ที่จำเป็นเบื้องต้น และนอกจากนี้ ยังมีการติดตั้ง Driver ของ CD-ROM รวมอยู่ด้วย ดังนั้น จึงสามารถใช้งาน CD-ROM Drive ได้ทันทีโดยไม่ต้องทำการตั้ง Driver ของ CD-ROM ต่าง ๆ ให้ยุ่งยาก


วิธีการสร้างแผ่น Windows 98 Startup Disk ถ้าหากระบบ Windows ของคุณติดตั้งจากแผ่นซีดี ต้องทำการใส่แผ่นซีดีสำหรับติดตั้ง Windows เข้าไปในเครื่องก่อน แต่ถ้าหากเป็นเครื่องที่ทำการติดตั้งจากฮาร์ดดิสก์โดยตรงก็ไม่จำเป็นครับ

การสร้างแผ่น Startup Disk เริ่มต้นโดยการเลือกที่เมนู Start >> Settings >> Control Panel >> Add/Remove Programs เลือกที่ป้าย Startup Disk ตามรูป

กดที่ปุ่ม Create Disk เพื่อเริ่มต้นการสร้างแผ่น Startup Disk

ใส่แผ่น Floppy Disk ในช่อง Floppy Disk Drive และกดที่ปุ่ม OK จากนั้นก็รอสักพัก เครื่องจะทำการสร้างและ ก็อปปี้ไฟล์ต่าง ๆ ที่จำเป็นใส่ลงในแผ่น Floppy Disk เมื่อเสร็จแล้วก็สามารถนำแผ่น Floppy Disk ที่ได้นี้ไปใช้งานได้ โดยจะสามารถนำไปใช้เป็นแผ่นบูทเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ทันที

การลงwindows xp

การติดตั้ง Windows XP Professional พร้อมตัวอย่างตั้งแต่เริ่มต้น

การติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows XP โดยปกติ จะสามารถทำได้ 2 แบบคือ การติดตั้งโดยการอัพเกรดจาก Windows ตัวเดิม หรือทำการติดตั้งใหม่เลยทั้งหมด สำหรับตัวอย่างในที่นี้ จะขอแนะนำวิธีการ ขั้นตอนการติดตั้ง Windows XP แบบลงใหม่ทั้งหมด ซึ่งความเห็นส่วนตัว น่าจะมีปัญหาในการใช้งานน้อยกว่าแบบอัพเกรดครับ

วิธีการติดตั้ง Windows XP ยังสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 แบบดังนี้

1. ติดตั้งแบบอัพเกรดจาก Windows ตัวเดิม โดยใส่แผ่น CD และเลือกติดตั้งจาก CD นั้นได้เลย
2. ติดตั้งโดยการบูตเครื่องใหม่จาก CD ของ Windows XP Setup และทำการติดตั้ง
3. ติดตั้งจากฮาร์ดดิสก์ โดยทำการ copy ไฟล์ทั้งหมดจาก CD ไปเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ ก่อนทำการติดตั้ง

เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ ในขั้นตอนการติดตั้งระบบ Windows XP ตรงนี้ จะขอแสดงตัวอย่างการติดตั้ง โดยการบูตจากแผ่น CD ของ Windows XP Setup ครับ โดยก่อนที่จะทำการติดตั้ง ก็ให้ทำการสำรองข้อมูลต่าง ๆ ไว้ให้เรียบร้อย จัดการแบ่ง พาร์ติชั่น (ถ้าจำเป็น) และทำการ format ฮาร์ดดิสก์ให้เรียบร้อยก่อน นอกจากนี้ ไม่ควรลืมการเตรียม Driver ของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เป็นของ Windows XP ไว้ด้วยครับ ดูรายละเอียดและวิธีการต่าง ๆ ตามลิงค์ต่อไปนี้

ในการแบ่งพื้นที่ฮาร์ดดิสก์ แนะนำให้ทำการวางแผนประมาณขนาดพื้นที่ไว้ล่วงหน้าด้วย โดยทั่วไปก็ไม่ควรจะใช้พื้นที่ต่ำกว่า 3G. และเนื่องจากระบบ Windows XP สามารถที่จะสร้างเมนู Multi Boot ได้หลังจากที่ติดตั้งไปแล้ว โดยยังสามารถเลือกเมนูว่า จะเรียก Windows ตัวเดิมหรือจะเรียก Windows XP ก็ได้ ดังนั้น หลาย ๆ ท่านมักจะแบ่งพื้นที่ไว้ลง Windows 98 ที่ Drive C: ประมาณ 5G. และเผื่อไว้สำหรับ Windows XP ที่ Drive D: อีกประมาณ 5G. ที่เหลือก็จะเป็น Drive E: สำหรับเก็บข้อมูลอื่น ๆ ทั่วไป แต่ถ้าหากลง Windows เพียงแค่ตัวเดียว ก็ไม่จำเป็นครับ

การตั้งค่าใน BIOS ก่อนทำการติดตั้ง Windows XP ใหม่จะต้องทำการ Disable Virus Protection ใน BIOS ซะก่อน เพราะว่าเมนบอร์ดบางรุ่นจะมีการป้องกัน Virus โดยการป้องกันการเขียนทับในส่วนของ Boot Area ของฮาร์ดดิสก์ ซึ่งเท่าที่เคยเห็นมา เครื่องคอมพิวเตอร์ปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่จะมีให้เลือกตั้งค่านี้อยู่แล้ว ถ้าหากเครื่องของใครไม่มีก็ไม่ต้องตกใจ เพราะเมนบอร์ด บางรุ่นอาจจะไม่มีก็ได้ วิธีการก็คือ

1. เริ่มจากการเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ใหม่ ขณะที่เครื่องกำลังทำ Memory Test หรือนับ RAM อยู่นั่นแหละ ด้านล่างซ้ายมือจะมีคำว่า Press DEL to enter SETUP ให้กดปุ่ม DEL บน Keyboard เพื่อเข้าสู่เมนูของ Bios Setup (แล้วแต่เมนบอร์ด ด้วยบางทีอาจจะใช้ปุ่มอื่น ๆ สำหรับการเข้า Bios Setup ก็ได้ลองดูให้ดี ๆ) จากนี้ก็แล้วแต่ว่าเครื่องของใคร จะขึ้นเมนูอย่างไร คงจะไม่เหมือนกันแต่ก็ไม่แตกต่างกันมากนัก จากนั้นให้มองหาเมนู Bios Features Setup ส่วนใหญ่จะเป็นเมนูที่สอง ใช้ปุ่มลูกศรเลื่อนแถบลงมาแล้วกด ENTER ถ้าใช่จะมีเมนูของ Virus Warning หรือ Virus Protection อะไรทำนองนี้ ถ้าหากเป็น Enable อยู่ละก็ให้เปลี่ยนเป็น Disable โดยเลื่อนแถบแสงไปที่เมนูที่เราต้องการใช้ปุ่ม PageUp หรือ PageDown สำหรับเปลี่ยนค่าให้เป็น Disable

2. กดปุ่ม ESC เพื่อกลับไปเมนูหลักของ Bios Setup มองหาเมนูของ SAVE TO CMOS AND EXIT หรืออะไรทำนองนี้เลื่อนแถบแสงไปเลยแล้วกด ENTER ถ้าหากเครื่องถามว่าจะ Save หรือไม่ก็ตอบ Y ได้เลย หลังจากนี้เครื่องจะทำการ Reboot ใหม่อีกครั้ง ใส่แผ่น Startup Disk ที่เราทำไว้ตามขั้นตอนแรกรอไว้ก่อนเลย

มาดูขั้นตอนตั้งแต่เริ่มต้น การติดตั้ง Windows XP กันเลยครับ

เริ่มต้น โดยการเซ็ตให้บูตเครื่องจาก CD-Rom Drive ก่อน โดยการเข้าไปปรับตั้งค่าใน bios ของเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยเลือกลำดับการบูต ให้เลือก CD-Rom Drive เป็นตัวแรกครับ (ถ้าหากเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ก็ไม่ต้องเปลี่ยนอะไร)





ทำการปรับเครื่อง เพื่อให้บูตจาก CD-Rom ก่อน จากนั้นก็บูตเครื่องจากแผ่นซีดี Windows XP Setup โดยเมื่อบูตเครื่องมา จะมีข้อความให้กดปุ่มอะไรก็ได้ เพื่อบูตจากซีดีครับ ก็เคาะ Enter ไปทีนึงก่อน


โปรแกรมจะทำการตรวจสอบและเช็คข้อมูลอยู่พักนึง รอจนขึ้นหน้าจอถัดไปครับ



เข้ามาสู่หน้า Welcome to Setup กดปุ่ม Enter เพื่อทำการติดตั้งต่อไป




หน้าของ Licensing Agreement กดปุ่ม F8 เพื่อทำการติดตั้งต่อไป





ทำการเลือก Drive ของฮาร์ดดิสก์ที่จะลง Windows XP แล้วกดปุ่ม Enter เพื่อทำการติดตั้งต่อไป



เลือกชนิดของระบบ FAT ที่จะใช้งานกับ Windows XP หากต้องการใช้ระบบ NTFS ก็เลือกที่ข้อบน แต่ถ้าจะใช้เป็น FAT32 หรือของเดิม ก็เลือกข้อสุดท้ายได้เลย (no changes) ถ้าไม่อยากวุ่นวาย แนะนำให้เลือก FAT32 นะครับ แล้วกดปุ่ม Enter เพื่อทำการติดตั้งต่อไป


โปรแกรมจะเริ่มต้นขั้นตอนการติดตั้ง รอสักครู่ครับ




หลังจากนั้น โปรแกรมจะทำการ Restart เครื่องใหม่อีกครั้ง (ให้ใส่แผ่นซีดีไว้ในเครื่องแบบนั้น แต่ไม่ต้องกดปุ่มใด ๆ เมื่อบูตเครื่องใหม่ ปล่อยให้โปรแกรมทำงานไปเองได้เลยครับ)


หลังจากบูตเครื่องมาคราวนี้ จะเริ่มเห็นหน้าตาของ Windows XP แล้วครับ รอสักครู่




โปรแกรมจะเริ่มต้นขั้นตอนการติดตั้งต่าง ๆ ก็รอไปเรื่อย ๆ ครับ


จะมีเมนูของการให้เลือก Regional and Language ให้กดปุ่ม Next ไปเลยครับ ยังไม่ต้องตั้งค่าอะไรในช่วงนี้



ใส่ชื่อและบริษัทของผู้ใช้งาน ใส่เป็นอะไรก็ได้ แล้วกดปุ่ม Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป



ทำการใส่ Product Key (จะมีในด้านหลังของแผ่นซีดี) แล้วกดปุ่ม Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป



หน้าจอให้ใส่ Password ของ Admin ให้ปล่อยว่าง ๆ ไว้แบบนี้แล้วกดปุ่ม Next เพื่อทำการติดตั้งตเลือก Time Zone ให้เป็นของไทย (GMT+07:00) Bangkok, Hanoi, Jakarta แล้วกดปุ่ม Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป



รอครับ รอ รอ รอสักพัก จนกระทั่งขั้นตอนต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อย ก็พร้อมแล้วสำหรับการเข้าสู่ระบบปฏิบัติการ Windows XP ครับ จากนั้น จะมีการบูตเครื่องใหม่อีกครั้ง เพื่อเริ่มต้นการใช้งานจริง ๆ


บูตเครื่องใหม่คราวนี้ อาจจะมีเมนูแปลก ๆ แบบนี้ เป็นการเลือกว่า เราจะบูตจากระบบ Windows ตัวเก่าหรือจาก Windows XP ครับ ก็เลือกที่ Microsoft Windows XP Professional ครับ ถ้าของใครไม่มีเมนูนี้ก็ไม่เป็นไรนะครับ

เริ่มต้นบูตเครื่อง เข้าสู่ระบบปฏิบัติการ Windows XP แล้วครับ



ในครั้งแรก อาจจะมีการถามเรื่องของขนาดหน้าจอที่ใช้งาน กด OK เพื่อให้ระบบตั้งขนาดหน้าจอให้เราได้เลยครับ นอกจากนี้ ถ้าหากเครื่องไหนมีการถาม การติดตั้งค่าต่าง ๆ ก็กดเลือกที่ Next หรือ Later ไปก่อน บางครั้งอาจจะมีให้เราทำการสร้าง Username อย่างน้อย 1 ฃื่อก่อนเข้าใช้งาน ก็ใส่ชื่อของคุณเข้าไปได้เลย


เสร็จแล้วครับ หน้าตาของการเข้า Windows XP สวยดีครับ



และนี่คือหน้าตาแรก ของระบบปฏิบัติการ Windows XP Professional ครับ ต่อไปก็เป็นการปรับแต่ง และการลง Driver ของอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เรียบร้อยต่อไป




ข่าวอัพเดต

เว็บบอร์ด

Google

Google

งานราชการ

แจกโค๊ดฟรี ทุกอย่าง ที่นี้

MSN

สถานีวิทยุออนไลน์

อัลบั้มรูปสาวๆน่ารัก

วีดีโอคลิป Video Clip

เพลง นิยาย Retrospect เพราะมากกก

เกมออนไลน์

หมวดต่างๆ